ที่มาของโรฮิงญา
มีแนวความคิดเกี่ยวกับที่มาของกลุ่มโรฮิงญาหลายแนวทางดังนี้
- นักวิชาการบางส่วนระบุว่า เป็นชนพื้นเมืองรัฐยะไข่
- ส่วนนักประวัติศาสตร์บางส่วนมักอ้างว่าพวกเขาอพยพมาประเทศพม่าจากเบงกอลส่วนใหญ่ระหว่างสมัยการปกครองของอังกฤษ
- นักประวัติศาสตร์ส่วนน้อยว่า โรฮิงญาเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาหลังพม่าได้เอกราชในปี 2491 และสงครามประกาศอิสรภาพบังกลาเทศในปี 2514
ประวัติของ “โรฮิงญา”
ชาวโรฮิงยา มีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับชาวเอเชียใต้ โดยเฉพาะชาวเบงกอล
บางส่วนสืบเชื้อสายมาจากชาวอาหรับ เปอร์เซีย และ ปาทาน ที่อพยพมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโมกุล
ถิ่นที่อยู่ของ ชาวโรฮิงยา ( ชาวยะไข่ รัฐยะไข่ ) อยู่ในภูมิประเทศที่ถูกปิดล้อมไว้ด้วยเทือกเขาอารากัน ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก
ภูมิประเทศที่มีความซับซ้อน ยากต่อการคมนาคมติดต่อกับ เมืองหลวงของประเทศพม่า เพราะมีเทือกเขาอารากัน เป็นเสมือนกำแพงขวางกั้นจากโลกภายนอก ทำให้ชาวยะไข่ มีวิถีชีวิต และ วิธีคิดเป็นอิสระจากชนส่วนใหญ่ในพม่า
รัฐยะไข่ มีประชากรประมาณ ๒ ล้านคน ในสมัยอังกฤษเข้าปกครองเรียก รัฐยะไข่ ว่า อารากัน (Arakan ) มี เมืองหลวงชื่อ สตวย (Sittwe)
ประชากรชาว ยะไข่ หรือ ชาวโรฮิงยา ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ อยู่ทางด้านใต้ของรัฐ
มีชาวมุสลิมประมาณ ๕ แสนคน อยู่ทางด้านเหนือ อีกสวนหนึ่งเป็นมุสลิมเข้ามาจาก จิตตะกอง อย่างผิดกฎหมาย พวกนี้แหละคือ “ โรอิงยา ”
ประวัติศาสร์ชาวโรฮิงญา
ชาวโรฮินจา คือมุสลิมที่อาศัยอยุ่ทางตอนเหนือของยะไข่ (อาระกัน) และพูดภาษาโรฮีนจา นักวิชาการบางคนบอกว่า พวกเขาเป็นคนพื้นเมืองในยะไข่ ในขณะที่นักประวัติศาสตร์หลายคนกล่าวว่า พวกเขาเป็นผู้อพยพมาจากเบงกอล ในช่วงที่อังกฤษปกครอง และบางส่วนก็มาในช่วงที่พม่าได้รับเอกราช และช่วงสงครามกลางเมืองในบังคลาเทศ
มุสลิมได้เข้ามาอยู่อาศัยในอาระกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 แต่จำนวนไม่สามารถระบุได้แน่ชัด หลังจากสงคราม Anglo-Burmese ในปี 1826 อังกฤษ เข้าปกครองอาระกัน และอพยพผู้คนจากเบงกอลเข้ามาใช้แรงงาน จำนวนประชากรของมุสลิมคิดเป็น 5% ของชาวอาระกันในขณะนั้น (1869) แต่หลังจากนั้นไม่นาน จำนวนประชากรโรฮิงยาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บันทึกตามสัมโนประชากรของอังกฤษระหว่างปี 1872 และ 1991 ได้ระบุว่าจะนวนประชากรมุสลิมในยะไข่ เพิ่มขึ้นจาก 58,255 คนเป็น 178,646 คน
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เกิดความรุนแรงระหว่างกองกำลังมุสลิม ที่อังกฤษติดอาวุธให้ กับกองกำลังชาวยะไข่พื้นเมือง ทำให้ความขัดแย้งเพิ่มสูงขึ้น ในปี 1982 นายพลเนวินได้ทำรัฐประหารสำเร็จ และปฏิเสธความเป็นพลเมืองพม่าของชาวโรฮินจา
ยุคสมัยอณาจักร มรัคอู
หลักฐานของการตั้งถิ่นฐานของมุสลิมเบงกอลในดินแดนอาระกันครั้งแรก ย้อนกลับไปได้ถึงยุคของกษัตริย์ชาวพุทธนามว่า นรเมขลา (1430-1434) แห่งอาณาจักร มรัคอู (Mrauk U) หลังจากที่กษัตริย์นรเมขลาได้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในเบงกอล(บังคลาเทศ)เป็นเวลา 24 ปี เขาได้กลับมาครองบันลังก์ได้อีกครั้งในปี 1430 โดยการสนับสนุนด้านกำลังทหารจากสุลต่านเบงกอล ทหารชาวเบงกอลที่มากับกษัตร์ย์นรเมขลา จึงตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนอาระกัน หลังจากนั้น เขายกดินแดนบางส่วนให้สุลต่านเบงกอล และยอมรับอธิปไตยของสุลต่านเบงกอลเหนือดินแดนเหล่านั้น
เพื่อแสดงถึงความเป็นข้าราชบริพานในสุลต่านเบงกอล ราชาอาระกันได้ใช้ชื่อแบบอิสลาม และนำเงินเหรียญอิสลามมาใช้ในราชอาณาจักร กษัตริย์นรเมขลา ได้สร้างเหรียญที่มีอักษรพม่าอยู่ด้านหนึ่ง และอักษรเปอเซียอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่ความเป็นรัฐทาสของอาระกันต่อเบงกอลเป็นไปในระยะเวลาสั้นๆ หลักจากที่สุลต่าน Jalaluddin Muhammad Shah ตายลงในปี 1433 ผู้สืบทอดของกษัตริย์นรเมขลาก็ตอบแทนด้วยการเข้ายึดเมืองรามูในปี 1437 และจิตะกองในปี 1459 อารกันได้ยึดครองจิตะกองไปจนถึงปี 1666
ยุคแห่งชัยชนะของพม่า
หลังจากที่พม่าได้ชัยชนะต่ออาระกันในปี 1785 ชาวอาระกันจำนวน 35,000 คนได้หนีเข้าไปในเขตจิตตะกองของบริติชเบงกอลในปี 1799 เพื่อหนีเอาชีวิตรอด และแสวงหาการคุ้มครองจากบริติชอินเดีย ผู้ปกครองพม่าได้ประหารชาวอาระกันนับพันคน และขนย้ายประชากรส่วนที่เหลือ เข้าไปที่ภาคกลางของพม่า ทิ้งอาระกันให้เป็นดินแดนที่แทบจะร้างผู้คนไปจนถึงช่วงที่อังกฤษเข้ามายึดครอง ในระหว่างนั้น มีฑูตคนหนึ่งชื่อ Sir Henry Yule พบเห็นชาวมุสลิมจำนวนมาก ทำงานรับใช้ราชวงศ์พม่าในฐานะขันที และขันทีมุสลิมเหล่านี้ มาจากอาระกัน
ยุคการปกครองของจักรวรรดิ์อังกฤษ
อังกฤษได้ส่งเสริมให้ชาวเบงกอลที่อยู่ในดินแดนใกล้เคียง อพยพเข้าไปตั้งรกรากในดินแดนอาระกัน ในฐานะผู้ใช้แรงงานในฟาร์ม อังกฤษได้ยกเลิกเขตแดนระหว่างเบงกอลและ อาระกัน ทำให้มีไม่ข้อจำกัดในการอพยพระหว่างดินแดน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ชาวเบงกอลนัพพัน จากจิตตะกอง ได้เข้ามาตั้งรกรากในอาระกันและหางานทำ
สำมะโนประชากรของอังกฤษปี 1871 รายงานว่ามีมุสลิมอยู่ 58,255 คนในยะไข่ และในปี 1911 จำนวนมุสลิมได้เพิ่มขึ้นเป็น 178,647 คน คลื่นของผู้อพยพพากันหลั่งไหลเข้ามาตามความต้องการแรงงานราคาถูกในกิจการข้าวเปลือกของบริติชอินเดีย ผู้อพยพจากเบงกอล ซึ่งส่วนใหญ่ มาจากจิตตะกอง หลั่งไหลกันเข้ามาสู่เมืองทางตะวันตกของอาระกัน การอพยพของขาวอินเดีย(ในขณะนั้น) เข้าสู่พม่า ได้กลายเป็นปรากฎการณ์ระดับชาติของพม่า ไม่ใช่แค่ในอาระกัน
นักประวัติศาสตร์บันทึกว่า ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ชาวอินเดียเข้าไปตั้งรกรากในพม่าไม่ต่ำกว่า 250,000 คนต่อปี จำนวนผู้อพยพได้เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนถึงจุดสุดยอดในปี 1927 ซึ่งมีจำนวนผู้อพยพสูงถึง 480,000 คน ย่างกุ้งได้แซงหน้านิวยอร์คในการเป็นปลายทางของผู้อพยพสูงสุดในโลก เมืองใหญ่หลายเมืองของพม่าอย่าง ย่างกุ้ง,ยะไข่, Bassein,Moulmein ผู้อพยพชาวอินเดีย กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ ชาวพม่าต้องตกอยู่ในความสิ้นหวัง
ผลกระทบของการย้ายถิ่นฐานมีความรุนแรงโดยเฉพาะในอาระกัน ในปี 1939 เจ้าหน้าที่ของอังกฤษได้แจ้งเตือนถึงความเป็นปรปักษ์กันระหว่างชาวอาระกันพื้นเมืองที่นับถือพุทธ กับผู้อพยพชาวมุสลิม และจัดตั้งคณะกรรมการนำโดย James Ester และ Tin Tut เพื่อศึกษาประเด็นการอพยพของมุสลิมเข้ามาในอาระกัน คณะกรรมการได้ให้คำแนะนำให้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยระหว่างเขตแดนของทั้งสองกลุ่ม อย่างไรก็ดีผลของสงครามโลกครั้
ที่มาของโรฮิงญา มีแนวความคิดเกี่ยวกับที่มาของกลุ่มโรฮิงญาหลายแนวทางดังนี้-นักวิชาการบางส่วนระบุว่าเป็นชนพื้นเมืองรัฐยะไข่-ส่วนนักประวัติศาสตร์บางส่วนมักอ้างว่าพวกเขาอพยพมาประเทศพม่าจากเบงกอลส่วนใหญ่ระหว่างสมัยการปกครองของอังกฤษ-นักประวัติศาสตร์ส่วนน้อยว่าและสงครามประกาศอิสรภาพบังกลาเทศในปีโรฮิงญาเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาหลังพม่าได้เอกราชในปี 2491 2514ประวัติของ "โรฮิงญา" ชาวโรฮิงยามีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับชาวเอเชียใต้โดยเฉพาะชาวเบงกอล บางส่วนสืบเชื้อสายมาจากชาวอาหรับเปอร์เซียและปาทานที่อพยพมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโมกุล ถิ่นที่อยู่ของชาวโรฮิงยา (ชาวยะไข่รัฐยะไข่) อยู่ในภูมิประเทศที่ถูกปิดล้อมไว้ด้วยเทือกเขาอารากันซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ภูมิประเทศที่มีความซับซ้อนยากต่อการคมนาคมติดต่อกับเมืองหลวงของประเทศพม่าเพราะมีเทือกเขาอารากันเป็นเสมือนกำแพงขวางกั้นจากโลกภายนอกทำให้ชาวยะไข่มีวิถีชีวิตและวิธีคิดเป็นอิสระจากชนส่วนใหญ่ในพม่า รัฐยะไข่มีประชากรประมาณ ๒ ล้านคนในสมัยอังกฤษเข้าปกครองเรียกรัฐยะไข่ว่าอารากัน (อาระกัน) มีเมืองหลวงชื่อสตวย (Sittwe) ประชากรชาวยะไข่หรือชาวโรฮิงยาส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธอยู่ทางด้านใต้ของรัฐ มีชาวมุสลิมประมาณ ๕ แสนคนอยู่ทางด้านเหนืออีกสวนหนึ่งเป็นมุสลิมเข้ามาจากจิตตะกองอย่างผิดกฎหมายพวกนี้แหละคือ "โรอิงยา"ประวัติศาสร์ชาวโรฮิงญาชาวโรฮินจาคือมุสลิมที่อาศัยอยุ่ทางตอนเหนือของยะไข่ (อาระกัน) และพูดภาษาโรฮีนจานักวิชาการบางคนบอกว่าพวกเขาเป็นคนพื้นเมืองในยะไข่ในขณะที่นักประวัติศาสตร์หลายคนกล่าวว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพมาจากเบงกอลในช่วงที่อังกฤษปกครองและบางส่วนก็มาในช่วงที่พม่าได้รับเอกราชและช่วงสงครามกลางเมืองในบังคลาเทศ มุสลิมได้เข้ามาอยู่อาศัยในอาระกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 แต่จำนวนไม่สามารถระบุได้แน่ชัดหลังจากสงครามในปีสงครามอังกฤษพม่า 1826 อังกฤษเข้าปกครองอาระกันและอพยพผู้คนจากเบงกอลเข้ามาใช้แรงงานจำนวนประชากรของมุสลิมคิดเป็นของชาวอาระกันในขณะนั้น 5% (งแมง) แต่หลังจากนั้นไม่นานจำนวนประชากรโรฮิงยาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วบันทึกตามสัมโนประชากรของอังกฤษระหว่างปีเนียร์ชและ 1991 ได้ระบุว่าจะนวนประชากรมุสลิมในยะไข่เพิ่มขึ้นจาก 58,255 คนเป็น 178,646 คน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองเกิดความรุนแรงระหว่างกองกำลังมุสลิมที่อังกฤษติดอาวุธให้กับกองกำลังชาวยะไข่พื้นเมืองทำให้ความขัดแย้งเพิ่มสูงขึ้นในปี 1982 นายพลเนวินได้ทำรัฐประหารสำเร็จและปฏิเสธความเป็นพลเมืองพม่าของชาวโรฮินจา ยุคสมัยอณาจักรมรัคอู หลักฐานของการตั้งถิ่นฐานของมุสลิมเบงกอลในดินแดนอาระกันครั้งแรกย้อนกลับไปได้ถึงยุคของกษัตริย์ชาวพุทธนามว่านรเมขลา (1430 จาก-1434) แห่งอาณาจักรมรัคอู (Mrauk U) หลังจากที่กษัตริย์นรเมขลาได้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในเบงกอล (บังคลาเทศ) เป็นเวลา 24 ปี 1430 จากเขาได้กลับมาครองบันลังก์ได้อีกครั้งในปีโดยการสนับสนุนด้านกำลังทหารจากสุลต่านเบงกอลทหารชาวเบงกอลที่มากับกษัตร์ย์นรเมขลาจึงตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนอาระกันหลังจากนั้นเขายกดินแดนบางส่วนให้สุลต่านเบงกอลและยอมรับอธิปไตยของสุลต่านเบงกอลเหนือดินแดนเหล่านั้น เพื่อแสดงถึงความเป็นข้าราชบริพานในสุลต่านเบงกอลราชาอาระกันได้ใช้ชื่อแบบอิสลามและนำเงินเหรียญอิสลามมาใช้ในราชอาณาจักรกษัตริย์นรเมขลาได้สร้างเหรียญที่มีอักษรพม่าอยู่ด้านหนึ่งและอักษรเปอเซียอยู่อีกด้านหนึ่งแต่ความเป็นรัฐทาสของอาระกันต่อเบงกอลเป็นไปในระยะเวลาสั้น ๆ หลักจากที่สุลต่าน Jalaluddin มุหัมมัดชาห์ตายลงในปี 1433 ผู้สืบทอดของกษัตริย์นรเมขลาก็ตอบแทนด้วยการเข้ายึดเมืองรามูในปี 1437 และจิตะกองในปี 1459 อารกันได้ยึดครองจิตะกองไปจนถึงปี 1666ยุคแห่งชัยชนะของพม่า หลังจากที่พม่าได้ชัยชนะต่ออาระกันในปี 1785 ชาวอาระกันจำนวน 35000 คนได้หนีเข้าไปในเขตจิตตะกองของบริติชเบงกอลในปี 1799 เพื่อหนีเอาชีวิตรอดและแสวงหาการคุ้มครองจากบริติชอินเดียผู้ปกครองพม่าได้ประหารชาวอาระกันนับพันคนและขนย้ายประชากรส่วนที่เหลือเข้าไปที่ภาคกลางของพม่าทิ้งอาระกันให้เป็นดินแดนที่แทบจะร้างผู้คนไปจนถึงช่วงที่อังกฤษเข้ามายึดครองในระหว่างนั้นมีฑูตคนหนึ่งชื่อเทศกาลคริสต์มาสเซอร์เฮนรี่พบเห็นชาวมุสลิมจำนวนมากทำงานรับใช้ราชวงศ์พม่าในฐานะขันทีและขันทีมุสลิมเหล่านี้มาจากอาระกันยุคการปกครองของจักรวรรดิ์อังกฤษ อังกฤษได้ส่งเสริมให้ชาวเบงกอลที่อยู่ในดินแดนใกล้เคียงอพยพเข้าไปตั้งรกรากในดินแดนอาระกันในฐานะผู้ใช้แรงงานในฟาร์มอังกฤษได้ยกเลิกเขตแดนระหว่างเบงกอลและอาระกันทำให้มีไม่ข้อจำกัดในการอพยพระหว่างดินแดนในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ชาวเบงกอลนัพพันจากจิตตะกองได้เข้ามาตั้งรกรากในอาระกันและหางานทำ สำมะโนประชากรของอังกฤษปี 1871 รายงานว่ามีมุสลิมอยู่ 58,255 คนในยะไข่และในปี 1911 จำนวนมุสลิมได้เพิ่มขึ้นเป็น 178,647 คนคลื่นของผู้อพยพพากันหลั่งไหลเข้ามาตามความต้องการแรงงานราคาถูกในกิจการข้าวเปลือกของบริติชอินเดียผู้อพยพจากเบงกอลซึ่งส่วนใหญ่มาจากจิตตะกองหลั่งไหลกันเข้ามาสู่เมืองทางตะวันตกของอาระกันการอพยพของขาวอินเดีย(ในขณะนั้น)เข้าสู่พม่าได้กลายเป็นปรากฎการณ์ระดับชาติของพม่าไม่ใช่แค่ในอาระกัน นักประวัติศาสตร์บันทึกว่าในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ชาวอินเดียเข้าไปตั้งรกรากในพม่าไม่ต่ำกว่า 250000 คนต่อปีจำนวนผู้อพยพได้เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนถึงจุดสุดยอดในปี 1927 ซึ่งมีจำนวนผู้อพยพสูงถึง 480,000 คนย่างกุ้งได้แซงหน้านิวยอร์คในการเป็นปลายทางของผู้อพยพสูงสุดในโลกเมืองใหญ่หลายเมืองของพม่าอย่างย่างกุ้ง ยะไข่ Bassein, Moulmein ผู้อพยพชาวอินเดียกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ชาวพม่าต้องตกอยู่ในความสิ้นหวัง ผลกระทบของการย้ายถิ่นฐานมีความรุนแรงโดยเฉพาะในอาระกัน ในปี 1939 เจ้าหน้าที่ของอังกฤษได้แจ้งเตือนถึงความเป็นปรปักษ์กันระหว่างชาวอาระกันพื้นเมืองที่นับถือพุทธ กับผู้อพยพชาวมุสลิม และจัดตั้งคณะกรรมการนำโดย James Ester และ Tin Tut เพื่อศึกษาประเด็นการอพยพของมุสลิมเข้ามาในอาระกัน คณะกรรมการได้ให้คำแนะนำให้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยระหว่างเขตแดนของทั้งสองกลุ่ม อย่างไรก็ดีผลของสงครามโลกครั้
การแปล กรุณารอสักครู่..

นักวิชาการบางส่วนระบุว่าเป็นชนพื้นเมืองรัฐยะไข่- นักประวัติศาสตร์ส่วนน้อยว่า 2491 2514 ประวัติของ "โรฮิงญา" ชาวโรฮิงยา เปอร์เซียและปาทาน ชาวโรฮิงยา (ชาวยะไข่รัฐยะไข่) ยากต่อการคมนาคมติดต่อกับเมืองหลวงของประเทศพม่าเพราะมีเทือกเขาอารากัน ทำให้ชาวยะไข่มีวิถีชีวิตและ มีประชากรประมาณ 2 ล้านคนในสมัยอังกฤษเข้าปกครองเรียกรัฐยะไข่ว่าอารากัน (Arakan) มีเมืองหลวงชื่อสตวย (Sittwe) ประชากรชาวยะไข่หรือชาวโรฮิงยาส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ 5 แสนคนอยู่ทางด้านเหนืออีกสวนหนึ่งเป็นมุสลิมเข้ามาจากจิตตะกองอย่างผิดกฎหมายพวกนี้แหละคือ "โรอิงยา" ประวัติศาสร์ชาวโรฮิงญาชาวโรฮินจา (อาระกัน) และพูดภาษาโรฮีนจานักวิชาการบางคนบอกว่าพวกเขาเป็นคนพื้นเมืองในยะไข่ พวกเขาเป็นผู้อพยพมาจากเบงกอลในช่วงที่อังกฤษปกครอง 15 แต่จำนวนไม่สามารถระบุได้แน่ชัดหลังจากสงครามแองโกลพม่าในปี 1826 อังกฤษเข้าปกครองอาระกัน จำนวนประชากรของมุสลิมคิดเป็น 5% ของชาวอาระกันในขณะนั้น (1869) แต่หลังจากนั้นไม่นาน 1872 และ 1991 เพิ่มขึ้นจาก 58,255 คนเป็น 178,646 คนระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ที่อังกฤษติดอาวุธให้กับกองกำลังชาวยะไข่พื้นเมืองทำให้ความขัดแย้งเพิ่มสูงขึ้นในปี 1982 นายพลเนวินได้ทำรัฐประหารสำเร็จ นรเมขลา (1430-1434) แห่งอาณาจักรมรัคอู (Mrauk U) 24 ปี 1430 จึงตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนอาระกันหลังจากนั้น ราชาอาระกันได้ใช้ชื่อแบบอิสลาม กษัตริย์นรเมขลา และอักษรเปอเซียอยู่อีกด้านหนึ่ง หลักจากที่สุลต่านมูฮัมหมัดชาห์ Jalaluddin ตายลงในปี 1433 1437 และจิตะกองในปี 1459 อารกันได้ยึดครองจิตะกองไปจนถึงปี 1785 ชาวอาระกันจำนวน 35,000 1799 เพื่อหนีเอาชีวิตรอด และขนย้ายประชากรส่วนที่เหลือเข้าไปที่ภาคกลางของพม่า ในระหว่างนั้นมีฑูตคนหนึ่งชื่อเซอร์เฮนรี่คริสต์มาสพบเห็นชาวมุสลิมจำนวนมากทำงานรับใช้ราชวงศ์พม่าในฐานะขันทีและขันทีมุสลิมเหล่านี้ ในฐานะผู้ใช้แรงงานในฟาร์ม อาระกัน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ชาวเบงกอลนัพพันจากจิตตะกอง 1871 รายงานว่ามีมุสลิมอยู่ 58,255 คนในยะไข่และในปี 1911 จำนวนมุสลิมได้เพิ่มขึ้นเป็น 178,647 คน ผู้อพยพจากเบงกอลซึ่งส่วนใหญ่มาจากจิตตะกอง การอพยพของขาวอินเดีย (ในขณะนั้น) เข้าสู่พม่า ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 250,000 คนต่อปี 1927 ซึ่งมีจำนวนผู้อพยพสูงถึง 480,000 คน เมืองใหญ่หลายเมืองของพม่าอย่างย่างกุ้ง, ยะไข่, Bassein, มะละแหม่งผู้อพยพชาวอินเดียกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ ในปี 1939 กับผู้อพยพชาวมุสลิมและจัดตั้งคณะกรรมการนำโดยเจมส์เอสเตอร์และดีบุกตุตันคาเมน อย่างไรก็ดีผลของสงครามโลกครั้
การแปล กรุณารอสักครู่..
