Vampires are said to be humans who

Vampires are said to be humans who once cheated death by drinking the blood of others and must therefore continue to drink the blood of the living in order to remain immortal. Consequently, they are believed to have become creatures with supernatural powers, such as amazing strength and the ability to hypnotize potential victims. In some fictionalized accounts of vampires, these creatures can also fly, sometimes after turning into a bat. There has been no physical evidence that such creatures are real, and indeed most people believe that vampires are figments of the imagination whose characteristics are largely based on the vampire in the novel Dracula by Bram Stoker. Some, however, insist that vampires are real creatures, who hunt alone or in bands that roam the streets of large cities looking for lone victims who will not be missed. These creatures, believers say, die when exposed to sunlight, cannot enter churches, and have an aversion to religious symbols such as crosses and to holy water. In addition, they are said to be repelled by garlic. (Some say that these things can kill a vampire, but others believe they only drive away a vampire.)

During the 1970s there were several cases in London of people insisting to police that they had encountered vampires in cemeteries, and one man was so afraid of a vampire attack that he protected himself with a necklace of garlic—and accidentally choked to death when one of the garlic cloves somehow became lodged in his throat. Similar reports are still made today. Vampire lore goes back much further than the late nineteenth century, when Bram Stoker was writing, however. In ancient times, people sometimes reported seeing vampires. For example, the ancient Greeks spoke of there being numerous vampires on the island of Santorini (now Thera). Believers say that such early accounts are particularly credible because they predate vampire novels. Some scholars, however, argue that early stories about vampires—at least those that come from Western cultures—can be attributed to the fact that until modern times, people were sometimes accidentally placed in coffins before they had actually died, which resulted in documented cases of “dead” bodies rising from their coffins.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แวมไพร์จะกล่าวว่าเป็นมนุษย์ที่เคยโกงความตายด้วยการดื่มเลือดของคนอื่น ๆ และดังนั้นจึงต้องดำเนินการต่อไปดื่มเลือดของคนเป็นเพื่อที่จะยังคงเป็นอมตะ ดังนั้นพวกเขาเชื่อว่าจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้มีอำนาจเหนือธรรมชาติเช่นความแข็งแรงที่น่าตื่นตาตื่นใจและความสามารถในการสะกดจิตผู้ประสบภัยที่อาจเกิดขึ้น ในบางบัญชีสมมติของแวมไพร์, สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังสามารถบินได้บางครั้งหลังจากที่กลายเป็นค้างคาว ยังไม่มีหลักฐานทางกายภาพว่าสิ่งมีชีวิตดังกล่าวเป็นจริงและจริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่เชื่อว่าแวมไพร์มีเศษเสี้ยวของจินตนาการที่มีลักษณะส่วนมากมาจากแวมไพร์ในนิยาย Dracula โดย Bram กรรมกรคุมเตา บางอย่าง แต่ยืนยันว่าแวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริงที่ตามล่าคนเดียวหรือวงดนตรีที่เดินเตร่ตามท้องถนนในเมืองใหญ่ที่กำลังมองหาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อคนเดียวที่จะไม่พลาด สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เชื่อบอกว่าตายเมื่อสัมผัสกับแสงแดดไม่สามารถเข้าโบสถ์และมีความเกลียดชังให้สัญลักษณ์ทางศาสนาเช่นไม้กางเขนและน้ำศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้พวกเขาบอกว่าจะมันไส้กระเทียม (บางคนบอกว่าสิ่งเหล่านี้สามารถฆ่าแวมไพร์ แต่คนอื่น ๆ เชื่อว่าพวกเขาเพียง แต่ขับรถออกไปแวมไพร์.) ในช่วงปี 1970 ที่มีอยู่หลายกรณีในกรุงลอนดอนของคนที่ยืนยันให้ตำรวจว่าพวกเขาได้พบกับแวมไพร์ในสุสานและคนหนึ่งก็กลัวดังนั้น ที่มีการโจมตีแวมไพร์ว่าเขาได้รับการป้องกันตัวเองด้วยสร้อยคอของกระเทียมและสำลักตั้งใจที่จะตายเมื่อหนึ่งในกลีบกระเทียมอย่างใดกลายเป็นที่อาศัยอยู่ในลำคอของเขา รายงานที่คล้ายกันจะทำวันนี้ยังคง ตำนานแวมไพร์กลับไปไกลเกินกว่าที่ช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้าเมื่อถ่านหินแบเขียนอย่างไร ในสมัยโบราณบางคนรายงานว่าเห็นแวมไพร์ ยกตัวอย่างเช่นในสมัยโบราณชาวกรีกพูดถึงมีการแวมไพร์จำนวนมากบนเกาะซานโตรินี (ตอนนี้เถระ) เชื่อบอกว่าบัญชีดังกล่าวในช่วงต้นมีความน่าเชื่อถือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะพวกเขาก่อนวันจริงนิยายแวมไพร์ นักวิชาการบางคน แต่ยืนยันว่าต้นเรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์อย่างน้อยผู้ที่มาจากตะวันตกวัฒนธรรมที่สามารถนำมาประกอบกับความจริงที่ว่าจนถึงยุคปัจจุบันคนบางครั้งวางตั้งใจในโลงศพก่อนที่พวกเขาเสียชีวิตจริงซึ่งมีผลในกรณีเอกสาร ของ "ตาย" ศพขึ้นมาจากโลงศพของพวกเขา

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

แวมไพร์จะกล่าวว่าเป็นมนุษย์ที่เคยโกงความตายโดยการดื่มเลือดของผู้อื่น และต้องจึงยังคงดื่มเลือดของชีวิตเพื่ออยู่เป็นอมตะ จึงเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังเหนือธรรมชาติ เช่นแรงที่น่าตื่นตาตื่นใจและความสามารถในการสะกดจิตเหยื่อที่มีศักยภาพ บัญชีในเรื่องสมมติของแวมไพร์สิ่งมีชีวิตเหล่านี้สามารถบิน บางครั้งหลังจากกลายเป็นค้างคาว ไม่มีหลักฐานทางกายภาพที่เป็นสิ่งมีชีวิตดังกล่าวจริง และแน่นอนคนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นแวมไพร์ figments แห่งจินตนาการที่มีลักษณะส่วนใหญ่มาจากแวมไพร์ในนิยาย Dracula โดยบราม สโตกเกอร์ . บาง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า แวมไพร์ เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆที่ล่าเพียงอย่างเดียวหรือในกลุ่มที่เดินเตร่ถนนของเมืองใหญ่ มองหาเหยื่อคนเดียว ที่ไม่ควรพลาด สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ , ผู้ศรัทธาพูด ตายเมื่อสัมผัสกับแสงแดดไม่สามารถเข้าโบสถ์ และจะปฏิเสธถึงสัญลักษณ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน และน้ำศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ พวกเขาจะกล่าวว่าเป็น repelled โดยกระเทียม ( บางคนบอกว่า สิ่งเหล่านี้สามารถฆ่าแวมไพร์ได้แต่คนอื่นเชื่อว่าพวกเขาขับรถหนีแวมไพร์ )

ในช่วงปี 1970 มีหลายกรณีในลอนดอนคนยืนยันกับตำรวจว่า พวกเขาได้พบแวมไพร์ในสุสาน และ คนมันกลัวการโจมตีของแวมไพร์ที่เขาปกป้องตัวเองกับสร้อยคอของกระเทียม และเผลอสำลักตายเมื่อหนึ่งของกระเทียม กลีบ เธอเริ่มจะค้างอยู่ในคอของเขารายงานที่คล้ายกันจะยังคงทำในวันนี้ ตำนานแวมไพร์กลับมากขึ้นกว่าศตวรรษที่สิบเก้าปลายเมื่อ บราม สโตกเกอร์ เขียนอย่างไร ในสมัยโบราณ ผู้คนบางครั้งรายงานว่าเห็นแวมไพร์ ตัวอย่างเช่น ในสมัยกรีกโบราณได้มีแวมไพร์มากมายบนเกาะ Santorini ( เถระ )ศรัทธาว่าบัญชีแรกดังกล่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น่าเชื่อถือเพราะพวกเขาลงวันที่ไว้ล่วงหน้านวนิยายแวมไพร์ นักวิชาการบางคน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า เรื่องแรกเกี่ยวกับแวมไพร์น้อยที่มาจากวัฒนธรรมตะวันตกสามารถนำมาประกอบกับความจริงที่ว่า จนบางครั้งคน บางครั้งเผลอวางไว้ในโลงศพก่อนที่พวกเขาได้ตายไปแล้วซึ่งส่งผลให้ในเอกสารกรณีของ " ตาย " ร่างขึ้นมาจากโลงศพของ