DiscussionAdamsen et al. (2003) hig

Discussion
Adamsen et al. (2003) highlighted variances in the nursing curriculum
in research training leading to “…the majority of nurses who
today work in clinical practice do not have formal or reliable researchrelated
qualifications” (Adamsen et al., 2003, p444). This seems to be
the case with the Singapore nurses, who had been educated to at
least diploma level and were likely to have been exposed to a research
component in their nursing education. This was verified by a larger
number claiming knowledge in the various approaches to research
and simultaneously expressing the lack of and the need to increase
knowledge and skills in using the different research methodologies
and methods.
This suggested variability in nursing research knowledge and
skills with many not having the confidence to conduct research independently,
reflecting the findings in previous work (Clarke and
Proctor, 1999; Hicks, 1995, 1996; Clifford and Murray, 2001;
Kuuppelomaki and Tuomi, 2003; Tan et al., 2012). In this regard, it
is pertinent to evaluate the research component of the existing nursing
curriculum and rethink how imparting of research knowledge could be
extended to experiential learning of the knowledge for its useful application
in real clinical situations. Otherwise, as demonstrated in this
study, many nurses although enthusiastic about conducting research
were confined to helping colleagues in collecting and analysing data.
One important point is these colleagues comprised the nonnursing
professionals as well as nurses. This suggested that some
nurses were actively conducting research. This seems to contradict
the findings about nurses not conducting research. Nevertheless,
such contradictory findings were not difficult to explain. As evidenced
in this study, many nurses conducted research because of an academic
pursuit. Conducting research was a compulsory endeavour in any
nursing programme; it was likely that nurses at some point would
be involved in independent nursing research activities. This then
explained why many nurses were involved in research of nursing colleagues
as data collectors instead of co-researchers. Given the purpose
of such research, the activities would come to a halt when
one's academic journey was completed. In this regard, it is even
more critical to re-examine the way the nursing curriculum is delivered
in terms of research knowledge and skills. It is important to
highlight that research should not only be confined to academia but
should also be integral to professional development (Jolley, 2002).
To enable this, research knowledge and skills implanted in the nursing
curriculum needed to be followed through in healthcare institutions
where nurses are employed. As such, any understanding of the
research process instilled in education can be continuously experienced
in real situational work contexts so their knowledge and skills
can be improved and enhanced.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

สนทนาผลต่าง Adamsen et al. (2003) เน้นในหลักสูตรพยาบาลในการฝึกอบรมการวิจัยที่นำไปสู่ "... ส่วนใหญ่อะลูมิเนียมม... nurses ที่วันนี้ทำงานในคลินิกไม่มี researchrelated เป็นทางการ หรือเชื่อถือได้คุณสมบัติ" (Adamsen et al., 2003, p444) นี้น่าจะเป็นในกรณีของพยาบาลสิงคโปร์ ที่ได้รับการศึกษาที่ระดับประกาศนียบัตรที่น้อยที่สุด และมีแนวโน้มที่จะมีการสัมผัสกับวิจัยส่วนประกอบในการศึกษาพยาบาล นี้ถูกตรวจสอบ โดยขนาดใหญ่เลขที่อ้างว่า ความรู้ในวิธีการต่าง ๆ เพื่อการวิจัยและพร้อมแสดงการขาดและจำเป็นต้องเพิ่มความรู้และทักษะในการใช้วิธีการวิจัยที่แตกต่างกันและวิธีการนี้แนะนำสำหรับความผันผวนในการพยาบาลการวิจัยความรู้ และทักษะ มีจำนวนมากไม่มีความมั่นใจในการดำเนินการวิจัยอย่างอิสระสะท้อนให้เห็นถึงผลการวิจัยในการทำงานก่อนหน้า (คลาร์ก และProctor, 1999 Hicks, 1995, 1996 คลิฟฟอร์ดและเมอร์เรย์ 2001Kuuppelomaki และ Tuomi, 2003 Tan et al., 2012) ในการนี้ มันเป็นอิสระเพื่อประเมินส่วนประกอบงานวิจัยของพยาบาลที่มีอยู่หลักสูตรและ rethink วิธี imparting ความรู้งานวิจัยอาจเป็นขยายการเรียนรู้ผ่านความรู้สำหรับโปรแกรมประยุกต์ที่มีประโยชน์ในสถานการณ์จริงทางคลินิก มิฉะนั้น ดังนี้ศึกษา หลายพยาบาลแต่กระตือรือร้นเกี่ยวกับการทำวิจัยถูกจำกัดไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานในการเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลจุดสำคัญหนึ่งคือ เพื่อนร่วมงานเหล่านี้ประกอบด้วยการ nonnursingอาชีพเป็นพยาบาล นี้แนะนำว่า บางส่วนพยาบาลกำลังดำเนินการวิจัย นี้ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันค้นพบเกี่ยวกับพยาบาลไม่ทำวิจัย อย่างไรก็ตามผลการวิจัยดังกล่าวขัดแย้งยากที่จะอธิบายไม่ได้ เป็นหลักฐานในการศึกษานี้ พยาบาลหลายการศึกษาวิจัย เพราะการศึกษาแสวงหา ดำเนินการวิจัยได้ endeavour บังคับใด ๆพยาบาลโครงการ มีแนวโน้มว่า พยาบาลในบางจุดจะมีส่วนร่วมในการพยาบาลอิสระวิจัยกิจกรรม นี้แล้วอธิบายทำไมพยาบาลจำนวนมากเกี่ยวข้องกับงานวิจัยของเพื่อนร่วมงานพยาบาลเป็นการสะสมข้อมูลแทนนักวิจัยร่วม กำหนดวัตถุประสงค์งานวิจัยดังกล่าว กิจกรรมต้องมาชะงักเมื่อเดินศึกษาเสร็จสมบูรณ์ ในการนี้ ก็ได้สำคัญมากกับการตรวจสอบตามหลักสูตรการพยาบาลจะจัดส่งวิจัยความรู้และทักษะ จำเป็นต้องเน้นที่การวิจัยควรไม่เพียงจะจำกัดไป academia แต่นอกจากนี้ควรไปศึกษา (Jolley, 2002)การเปิดการใช้งาน งานวิจัยความรู้และทักษะ implanted ในการพยาบาลหลักสูตรที่ต้องจะไปถึงในสถาบันสุขภาพที่พยาบาลเป็นลูกจ้าง เป็นที่เข้าใจเช่น ใด ๆกระบวนการวิจัย instilled ในการศึกษาอย่างต่อเนื่องมีในบริบทการทำงานในสถานการณ์จริงเพื่อให้ความรู้และทักษะสามารถพัฒนา และปรับปรุงได้

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

คำอธิบาย
Adamsen et al, (2003)
เน้นความแปรปรวนในหลักสูตรการพยาบาลในการฝึกอบรมการวิจัยที่นำไปสู่​​"...
ส่วนใหญ่ของพยาบาลที่วันนี้การทำงานในการปฏิบัติทางคลินิกไม่ได้มีresearchrelated
เป็นทางการหรือเชื่อถือได้คุณสมบัติ" (Adamsen et al., 2003 p444) นี้น่าจะเป็นกรณีที่มีพยาบาลสิงคโปร์ที่ได้รับการศึกษาเพื่อที่อย่างน้อยในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงและมีแนวโน้มที่จะได้สัมผัสกับการวิจัยองค์ประกอบในการศึกษาพยาบาลของพวกเขา นี้ได้รับการตรวจสอบโดยที่มีขนาดใหญ่จำนวนที่อ้างว่ารู้ในวิธีการต่างๆในการวิจัยและพร้อมแสดงการขาดและความจำเป็นในการเพิ่มความรู้และทักษะในการใช้วิธีการวิจัยที่แตกต่างกันและวิธีการ. นี้แสดงให้เห็นความแปรปรวนในความรู้การวิจัยพยาบาลและทักษะที่มีจำนวนมากไม่มีความมั่นใจในการดำเนินการวิจัยอิสระสะท้อนให้เห็นถึงผลการวิจัยในการทำงานก่อนหน้า(คลาร์กและพรอคเตอร์, 1999; ฮิกส์ปี 1995 1996; Clifford และเมอเรย์ 2001; Kuuppelomaki และ Tuomi, 2003. ตาล et al, 2012) ในเรื่องนี้ก็คือการที่เกี่ยวข้องกับการประเมินองค์ประกอบของการวิจัยทางการพยาบาลที่มีอยู่หลักสูตรและวิธีการเล่าเรื่องคิดใหม่ของความรู้การวิจัยอาจจะขยายไปถึงการเรียนรู้ประสบการณ์ความรู้สำหรับโปรแกรมที่มีประโยชน์ของตนในสถานการณ์จริงทางคลินิก มิฉะนั้นแสดงให้เห็นในการศึกษาพยาบาลจำนวนมากแม้ว่าจะกระตือรือร้นเกี่ยวกับการทำวิจัยที่ถูกคุมขังที่จะช่วยให้เพื่อนร่วมงานในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล. จุดหนึ่งที่สำคัญคือเพื่อนร่วมงานเหล่านี้ประกอบด้วย nonnursing มืออาชีพเช่นเดียวกับการพยาบาล นี้แสดงให้เห็นว่าบางพยาบาลได้รับการดำเนินการวิจัยอย่างแข็งขัน นี้ดูเหมือนจะขัดแย้งกับผลการวิจัยเกี่ยวกับการพยาบาลไม่ได้ดำเนินการวิจัย อย่างไรก็ตามผลการวิจัยที่ขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้ยากที่จะอธิบาย เป็นหลักฐานในการศึกษานี้พยาบาลหลายดำเนินการวิจัยเพราะนักวิชาการแสวงหา การทำวิจัยเป็นความพยายามใด ๆ ภาคบังคับในโปรแกรมการพยาบาล; มันเป็นไปได้ว่าพยาบาลในบางจุดจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมการวิจัยทางการพยาบาลที่เป็นอิสระ นี้ก็อธิบายว่าทำไมหลายพยาบาลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการวิจัยของเพื่อนร่วมงานพยาบาลเป็นข้อมูลแทนการสะสมของนักวิจัยร่วม- ได้รับวัตถุประสงค์ของการวิจัยดังกล่าวกิจกรรมจะมาหยุดเมื่อการเดินทางทางวิชาการของคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเรื่องนี้ก็ยังมีความสำคัญมากขึ้นในการสอบใหม่ทางหลักสูตรพยาบาลจะถูกส่งในแง่ของความรู้และทักษะในการวิจัย มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะเน้นการวิจัยที่ไม่ควรจะถูกคุมขังในภาคการศึกษาแต่ก็ควรจะสำคัญในการพัฒนาอาชีพ(Jolley, 2002). ต้องการเปิดใช้งานนี้ความรู้การวิจัยและทักษะการปลูกฝังในการพยาบาลหลักสูตรจะต้องผ่านไปในสถาบันการศึกษาด้านการดูแลสุขภาพที่พยาบาลที่ถูกว่าจ้าง เช่นความเข้าใจใด ๆ ของกระบวนการวิจัยในการศึกษาปลูกฝังสามารถมีประสบการณ์อย่างต่อเนื่องในบริบทการทำงานในสถานการณ์จริงเพื่อให้ความรู้และทักษะของพวกเขาสามารถปรับปรุงและเพิ่ม

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การอภิปราย
adamsen et al . ( 2003 ) เน้นความแปรปรวนในหลักสูตรการฝึกอบรมการพยาบาล
ในการวิจัยชั้นนำ " . . . . . . . ส่วนใหญ่ของพยาบาลที่
วันนี้ทำงานทางคลินิกไม่ต้องเป็นทางการหรือความน่าเชื่อถือแห่งประเทศไทย
- " ( adamsen et al . , 2003 , p444 ) นี้น่าจะเป็น
กรณีกับสิงคโปร์ พยาบาลที่ได้รับการศึกษาที่
อย่างน้อยระดับอนุปริญญา และมีแนวโน้มที่จะได้สัมผัสกับการวิจัย
ส่วนประกอบในการศึกษาพยาบาลของพวกเขา นี้ถูกยืนยันโดยขนาดใหญ่
เลขที่อ้างว่าความรู้ในวิธีการต่างๆเพื่อการวิจัย
และพร้อมกันแสดงขาดและต้องเพิ่ม
ความรู้และทักษะในการใช้ระเบียบวิธีวิจัยที่แตกต่างกัน

และวิธีการนี้แนะนำของความรู้และทักษะในการวิจัยทางการพยาบาล
กับหลายไม่มีความมั่นใจที่จะดำเนินการวิจัยอิสระ
การสะท้อนผลในงานก่อนหน้า ( คลาร์กและ
Proctor , 1999 ; ฮิกส์ , 1995 , 1996 ; Clifford และเมอร์เรย์ , 2001 ;
kuuppelomaki และ tuomi , 2003 ; Tan et al . , 2012 ) ในการนี้ มันเกี่ยวข้องกับการประเมินงานวิจัย

องค์ประกอบที่มีอยู่ของพยาบาลหลักสูตรและทบทวนวิธีการให้ความรู้ เพื่อสามารถขยายการเรียนรู้จากประสบการณ์ของ

การประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อประโยชน์ในสถานการณ์ทางคลินิกจริง มิฉะนั้น ดังที่แสดงในการศึกษา
, มีพยาบาลแม้ว่ากระตือรือร้นเกี่ยวกับการทำวิจัย
ถูกคับช่วยเพื่อนร่วมงานในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
สิ่งสำคัญก็คือเพื่อนร่วมงานเหล่านี้ประกอบด้วย nonnursing
ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งพยาบาล นี้แสดงให้เห็นว่าบาง
พยาบาลอย่างการทำวิจัย . นี้ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับข้อมูลเกี่ยวกับพยาบาล
การดําเนินการวิจัย อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยดังกล่าวขัดแย้ง
ไม่ยากที่จะอธิบาย เป็นหลักฐาน
ในการศึกษานี้มีพยาบาลดำเนินการวิจัยเพราะเป็นวิชาการ
แสวงหา วิจัย คือ พยายามบังคับในหลักสูตรการพยาบาล
; มันเป็นโอกาสที่พยาบาลในบางจุดจะ
จะเกี่ยวข้องในกิจกรรมการวิจัยทางการพยาบาลอิสระ นี้อธิบายว่าทำไมพยาบาลหลายคนแล้ว

มีส่วนร่วมในการวิจัยของพยาบาลเพื่อนเป็นนักสะสมข้อมูลแทนนักวิจัยจำกัด ระบุวัตถุประสงค์
การวิจัยดังกล่าว กิจกรรมก็ต้องหยุดชะงักเมื่อ
หนึ่งของวิชาการการเดินทางเสร็จ ในการนี้ แม้
เพิ่มเติมสําคัญที่จะตรวจสอบวิธีหลักสูตรพยาบาลส่ง
ในแง่ความรู้การวิจัยและทักษะ มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะ
เน้นวิจัย ไม่ควรจำกัดอยู่ในวงแต่
ควรส่วนหนึ่งการพัฒนาอาชีพ ( จอลลีย์ , 2002 ) .
เพื่อให้นี้งานวิจัยทักษะและความรู้ที่ฝังอยู่ในหลักสูตรพยาบาล
ต้องติดตามผ่านสถาบัน
สุขภาพที่พยาบาล เป็นลูกจ้าง เช่น มีความเข้าใจในกระบวนการวิจัย
instilled ในการศึกษาสามารถอย่างต่อเนื่องในสถานการณ์การทำงานจริง ประสบการณ์

บริบทเพื่อให้ความรู้และทักษะของพวกเขาสามารถปรับปรุงและเพิ่ม