กะเดิบโดง กะเดิบซลา
มีครอบครัวหนึ่งฐานะยากจน ประกอบด้วยแม่และลูกสาวคนหนึ่ง
ชื่อ “นางกะเดิบโดง” พ่อของนางกะเดิบโดง ตายจากไปนานแล้ว ฐานะของครอบครัวนี้ยากจน
วันหนึ่งแม่ของนางกะเดิบโดง ไปขุดหน่อไม่และทำเสียมติดอยู่ในกอไผ่ นางพยายามดึงยังไงก็ดึงไม่ได้สักที จนตะวันบ่ายคล้อยใกล้ค่ำ ก็หมดปัญญา นางจึงพูดบนบานว่า ถ้าใครสามารถเอาเสียมของนางออกมาจากกอไผ่ได้ นางจะยกลูกสาวคนเดียวให้
นางพูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงหนึ่งถามว่า “พูดจริงใช่ไหม?” นางก็ตอบว่า ใช่... ทันใดนั้นก็ปรากฎมีงูตัวใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยออกมาและเอาเสียมออกจากกอไผ่ให้ แม่นางกะเดิบโดง ตกใจมากที่เห็นงูใหญ่ขนาดเท่าต้นมะพร้าว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะได้ลั่นวาจาออกไปแล้วจึงถือความสัตย์
ฝ่ายงูถามแม่นางกะเดิบโดงว่า จะไปบ้านนางได้อย่างไร นางก็บอกให้ไปตามเปลือกหน่อไม้ที่นางจะแกะทิ้งไว้เป็นระยะตามทางจนถึงบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้านก็เล่าให้ลูกสาวฟัง นางกะเดิบโดง ตกใจมาก แต่ก็ยอมทำตามความประสงค์ของแม่ พอตกกลางคืนงูใหญ่ ก็ไปที่บ้านของนางกะเดิบโดงจริงและเข้าไปอยู่ในห้องของนางกะเดิบโดง
งูนี้ที่จริงเป็นงูเทพจำแลงกายมาลองใจแม่นางกะเดิบโดงว่าจะรักษาคำสัตย์หรือไม่
เมื่อเข้าไปในห้องจึงคืนร่างเป็นเทพรูปงามและบอกความจริงแก่นางกะเดิบโดง และได้นางเป็นภรรยา ในคืนนั้นพร้อมกับเนรมิตความร่ำรวยให้ครอบครัวนี้ จนเป็นที่ร่ำลือไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ยังมีอีกครอบครัวหนึ่ง มีลูกสาวชื่อ นางกะเดิบซลา เมื่อแม่ของนางกะเดิบซลาได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็เกิดความอิจฉาและอยากร่ำรวยกับเขาบ้าง จึงแวะเวียนไปบ้านนางกะเดิบโดง ฝ่ายแม่ของนางกะเดิบโดงก็เล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง
แม่ของนางกะเดิบซลา เมื่อกลับมาถึงบ้านก็คว้าเสียม ตะกร้าไปหาหน่อไม้ ในใจก็คิดถึงความร่ำรวย ตลอดทาง อยากได้เขยรูปงามให้ผู้คนร่ำลือเหมือนแม่นางกะเดิบโดงบ้าง
เมื่อไปถึงป่าไผ่ นางก็เอาเสียมไปเสียบไว้กับกอไผ่กอเดิมที่แม่นางกะเดิบโดงทำเสียมติด แล้วนางก็ทำทีร้องหาคนช่วยเอาเสียมออกจากกอไผ่ให้ แล้วนางจะยกลูกสาวให้ นางร้องเกือบทั้งวันก็ไม่มีใครมาช่วย
ใกล้ค่ำนางเกือบหมดความอดทน ก็มีงูใหญ่ตัวหนึ่งอาสาจะเอาเสียมให้นาง นางดีใจมาก บอกว่าให้รีบไปบ้าน นางจะทิ้งเปลือกหน่อไม้ ไว้เป็นที่สังเกตตลอดจนถึงบ้าน
แม่นางกะเดิบซลาดีใจรีบกลับบ้าน แล้วบอกแก่นางกะเดิบซลา ให้เตรียมตัวรับว่าที่ผัวงู นางกะเดิบซลาเป็นคนดี แต่ขัดใจแม่ไม่ได้ จึงจำใจต้องทำตามผู้เป็นแม่
คืนนั้นงูตัวใหญ่มาที่บ้านนางกะเดิบซลา แม่ของนางดีใจ รีบพาเข้าห้องลูกสาว กำชับให้ปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อย ส่วนตัวเองจะเข้านอนคอยเงี่ยหูฟังสถานการณ์
สักพักหนึ่งได้ยินเสียงนางกะเดิบซลาร้องบอกว่า งูใหญ่ได้กลืนข้อเท้าตนเองแล้ว แม่นางกะเดิบซลาได้ยินดังนั้น ก็ให้ขัดเคืองยิ่งนัก นางตะคอกให้ลูกเงียบ เพียงสามีหยอกเล่นนิดหน่อยก็ทำกระโตกกระตากให้คนอื่นรู้
สักครูหนึ่งนางกะเดิบซลา ก็ร้องดังขึ้นอีกว่า งูได้กลืนมาถึงเอวแล้ว แม่นางก็บอกให้เงียบ สักพักนางกะเดิบซลา ก็ร้องอีกว่างูกลืนนางถึงคอแล้ว แม่ของนางก็บอกให้เงียบ
รุ่งเช้าแม่นางกะเดิบซลา ตื่นหุงหาอาหารจนสายก็ยังไม่เห็นลูกสาวและลูกเขยออกจากห้อง จึงเอะใจเคาะประตูไม่มีใครตอบ จึงลงเดินไปหารอบๆบ้าน เห็นงูใหญ่ท้องป่อง เนื่องจากกลืนนางกะเดิบซลา ไปขดตัวอยู่ในสวนหม่อนหลังบ้าน
นางตกใจสุดขีดร้องให้ชาวบ้านมาช่วยฆ่างูผ่าท้องช่วย นางกะเดิบซลาออกมาได้ เรื่องนี้เป็นที่ซุบซิบนินทาของคนในหมู่บ้านสร้างความอับอายแกนางกะเดิบซลาเป็นอย่างมาก นางบอกกับแม่ของนางว่า ขอตัวไปอาบน้ำล้างเมือกงู ที่กลืนนางออก แม่นางให้น้องชายคนเดียวของนางตามไปเป็นเพื่อนด้วย
นางกะเดิบซลาคว้าขันน้ำ และถูกผ้าเดินออกจากหมู่บ้านหาแหล่งน้ำชำระล้างร่างกาย ผ่านหนองน้ำใหญ่ น้องชายของนางให้นางลงอาบล้างที่หนองนั้น แต่นางว่าน้ำน้อยไปล้างเมือกออกไม่หมดหรอก จึงพากันเดินต่อไป ผ่านอีกห้วย บึง แม่น้ำ ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของนาง บุกป่าฝ่าทุ่งหลายวันหลายคืน จนมาถึงมหาสมุทรใหญ่ นางบอกให้น้องชายหยุดรอที่ชายฝั่ง ส่วนนางจะลงไปอาบน้ำล้างคราบเมือกงูออก นางคว้าขันเดินลงไปในน้ำเรื่อยๆ จนลึกถึงคอ เมื่อนางเดินลึกถึงปลายคาง นางเอาขันครอบหัว แล้วมุดน้ำหายไป ไม่ยอมโผล่มาอีกเลย น้องชายของนางรออยู่เป็นนาน ก็ไม่เห็นพี่สาวโผล่มาสักที จึงเดินร้องให้กลับบ้าน พร้อมกับบอกเรื่องราวให้แม่ของนางกะเดิบซลาทราบ นางเสียใจและรู้สึกผิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะสายเกินไปเสียแล้ว
นางกะเดิบซลา ที่หายไปในมหาสมุทร ได้ลายเป็นนางเงือก อาศัยอยู่ในมหาสมุทรไม่ยอมพบผู้คนด้วยความอายตราบเท่าทุกวันนี้*******