Talcott Parsons (1902-1979)Talcott

Talcott Parsons (1902-1979)
Talcott Parsons was heavily influenced by Emile Durkheim and Max Weber, synthesizing much of their work into his action theory, which he based on the system-theoretical concept and the methodological principle of voluntary action. He held that "the social system is made up of the actions of individuals." His starting point, accordingly, is the interaction between two individuals faced with a variety of choices about how they might act, choices that are influenced and constrained by a number of physical and social factors.
Parsons determined that each individual has expectations of the other's action and reaction to his own behaviour, and that these expectations would (if successful) be "derived" from the accepted norms and values of the society they inhabit. As Parsons himself emphasized, in a general context there would never exist any perfect "fit" between behaviours and norms, so such a relation is never complete or "perfect."
Social norms were always problematic for Parsons, who never claimed (as has often been alleged) that social norms were generally accepted and agreed upon, should this prevent some kind of universal law. Whether social norms were accepted or not was for Parsons simply a historical question.
As behaviours are repeated in more interactions, and these expectations are entrenched or institutionalized, a role is created. Parsons defines a "role" as the normatively-regulated participation "of a person in a concrete process of social interaction with specific, concrete role-partners." Although any individual, theoretically, can fulfill any role, the individual is expected to conform to the norms governing the nature of the role they fulfill.
Action Theory
He was eager to differentiate action theory from behaviorism. Behavior implies mechanical response to stimuli, whereas action implies an active , creative, ‘mental’ process. –-----Unit act was defined in terms of four components ; Actor—End or a future state toward which action is oriented, --Situation ; that involves two elements things –Norms and Values
Robert Merton (1910-2003)
Robert K. Merton was a functionalist. He fundamentally agreed with Parsons’ theory. However, he acknowledged that it was problematic, believing that it was over generalized [Holmwood, 2005:100]. Merton tended to emphasize middle range theory rather than a grand theory, meaning that he was able to deal specifically with some of the limitations in Parsons’ theory. Merton believed that any social structure probably has many functions, some more obvious than others. He identified 3 main limitations: functional unity, universal functionalism and indispensability [Ritzer in Gingrich, 1999]. He also developed the concept of deviance and made the distinction between manifest and latent functions. Manifest functions referred to the recognized and intended consequences of any social pattern. Latent functions referred to unrecognized and unintended consequences of any social pattern.
He noted that not all parts of a modern complex society work for the functional unity of society. Consequently, there is a social dysfunction referred to as any social pattern that may disrupt the operation of society. Some institutions and structures may have other functions, and some may even be generally dysfunctional, or be functional for some while being dysfunctional for others. This is because not all structures are functional for society as a whole. Some practices are only functional for a dominant individual or a group [Holmwood, 2005:91]. There are two types of functions that Merton discusses the "manifest functions" in that a social pattern can trigger a recognized and intended consequence. The manifest function of education includes preparing for a career by getting good grades, graduation and finding good job. The second type of function is "latent functions", where a social pattern results in an unrecognized or unintended consequence. The latent functions of education include meeting new people, extra-curricular activities, school trips. Another type of social function is "social dysfunction" which is any undesirable consequences that disrupts the operation of society. The social dysfunction of education includes not getting good grades, a job. Merton states that by recognizing and examining the dysfunctional aspects of society we can explain the development and persistence of alternatives. Thus, as Holmwood states, “Merton explicitly made power and conflict central issues for research within a functionalist paradigm”

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

Talcott พาร์สันส์ (1902-1979)พาร์สันส์ Talcott ถูกมากอิทธิพล โดยเอไมล์ Durkheim และเวเบอร์ Max การสังเคราะห์มากงานในทฤษฎีของเขาดำเนินการ ซึ่งเขาตามแนวคิดทฤษฎีระบบและหลักการสมัครใจ methodological เขาถือว่า "ระบบสังคมขึ้นเป็นการกระทำของบุคคลนั้น" จุดเริ่มต้นของเขา ดังนั้น เป็นการโต้ตอบระหว่างบุคคลทั้งสองต้องเผชิญกับความหลากหลายของตัวเลือกเกี่ยวกับการอาจกระทำ ตัวเลือกที่มีอิทธิพล และจำกัด ด้วยปัจจัยทางกายภาพ และทางสังคม พาร์สันส์ที่กำหนดว่า แต่ละคนมีความคาดหวังอื่น ๆ ของการกระทำและปฏิกิริยากับพฤติกรรมของเขาเอง และความคาดหวังเหล่านี้จะ (ถ้าสำเร็จ) จะ "มา" ยอมรับบรรทัดฐานและค่าของสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ เป็นพาร์สันส์เองเน้น ในบริบททั่วไป จะไม่มีใด ๆ โก "พอดี" ระหว่างพฤติกรรมและบรรทัดฐาน เพื่อให้ความสัมพันธ์ไม่สมบูรณ์ หรือ "สมบูรณ์แบบ"บรรทัดฐานทางสังคมก็เป็นปัญหาสำหรับพาร์สันส์ ใครไม่เคยว่า (ตามที่มีมักจะถูกกล่าวหา) ว่า บรรทัดฐานทางสังคมทั่วไปยอมรับ และตกลงตาม ควรนี้ป้องกันบางชนิดของกฎหมายสากล ว่าบรรทัดฐานทางสังคมมีการยอมรับ หรือไม่ได้สำหรับพาร์สันส์เพียงคำถามทางประวัติศาสตร์เป็นวิญญาณถูกทำซ้ำในการโต้ตอบมากขึ้น และความคาดหวังเหล่านี้จะมั่นคงแห่งรัฐ หรือ institutionalized มีสร้างบทบาท พาร์สันส์กำหนด "บทบาท" เป็นระเบียบ normatively มีส่วนร่วม "ของคนในสังคมโดยเฉพาะคอนกรีต คอนกรีตบทบาทคู่กัน" แม้ว่าตามหลักวิชา บุคคลใด สามารถตอบสนองงานบทบาทใด ๆ บุคคลคาดว่าจะสอดคล้องกับบรรทัดฐานที่ควบคุมลักษณะของบทบาทที่พวกเขาตอบสนองทฤษฎีการกระทำ เขากระตือรือร้นที่จะแยกความแตกต่างของทฤษฎีการกระทำจาก behaviorism ลักษณะการทำงานหมายถึงตอบสนองต่อสิ่งเร้า เครื่องจักรกลในขณะที่การดำเนินการหมายถึงกระบวนการใช้งาน สร้างสรรค์ 'จิต' ----หน่วยตามพระราชบัญญัติกำหนดไว้ในส่วนที่สี่ นักแสดง – สิ้นสุดหรือรัฐในอนาคตที่การกระทำเป็นแนว, -สถานการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบสองสิ่ง – บรรทัดฐานและค่าโรเบิร์ตเมอร์ (1910-2003)โรเบิร์ตเคเมอร์ functionalist ที่ได้ ภาระเขาตกลงกันกับทฤษฎีของพาร์สันส์ อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า มีปัญหา เชื่อว่า มันผ่านเมจแบบทั่วไป [โฮลม์วูดเกสท์ 2005:100] เมอร์มีแนวโน้มที่จะ เน้นช่วงกลางทฤษฎีมากกว่าทฤษฎีแกรนด์ หมายความ ว่า เขาจะจัดการเฉพาะกับบางประการในทฤษฎีของพาร์สันส์ เมอร์เชื่อว่า โครงสร้างสังคมใด ๆ อาจจะมีหลายหน้าที่ ชัดเจนบางมากขึ้นกว่าคนอื่น ๆ เขาระบุข้อจำกัดหลักที่ 3: ความสามัคคีการทำงาน สากล functionalism และ indispensability [Ritzer ใน Gingrich, 1999] นอกจากนี้เขายังพัฒนาแนวคิดของ deviance และสร้างความแตกต่างระหว่างรายการ และแฝงอยู่ ฟังก์ชันรายการที่อ้างอิงถึงผลรู้จัก และวัตถุประสงค์ของรูปแบบทางสังคมใด ๆ ฟังก์ชันแฝงอยู่เรียกว่าไม่รู้จัก และไม่ได้ตั้งใจผลของรูปแบบทางสังคมใด ๆ เขาตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ทุกส่วนของสังคมซับซ้อนสมัยใหม่ทำงานความสามัคคีทำงานของสังคม ดังนั้น มีบกพร่องทางสังคมที่เรียกว่ารูปแบบทางสังคมใด ๆ ที่อาจทำให้การดำเนินงานของสมาคม สถาบันและโครงสร้างบางอย่างอาจมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ และบางส่วนอาจแม้นบาทั่วไป หรือใช้งานสำหรับบางก็นบาคน ทั้งนี้เนื่องจากโครงสร้างทั้งหมดไม่ได้ทำงานในสังคม ปฏิบัติบางอย่างจะทำงานในแต่ละหลักหรือกลุ่ม [โฮลม์วูดเกสท์ 2005:91] เท่านั้น มีอยู่สองชนิดของฟังก์ชันว่า เมอร์กล่าวถึง "รายการฟังก์ชัน" ที่รูปแบบทางสังคมสามารถเรียกสัจจะตั้งใจ และรู้จัก ฟังก์ชันรายการการศึกษารวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการประกอบอาชีพ โดยได้รับเกรดดี จบการศึกษา และค้นหางานที่ดี ชนิดของฟังก์ชันที่สองคือ "ฟังก์ชันแฝงอยู่" ซึ่งรูปแบบทางสังคมผลลัพธ์ในสัจจะที่ไม่รู้จัก หรือไม่ได้ตั้งใจ ฟังก์ชั่นแฝงอยู่ในการศึกษารวมประชุมคนใหม่ กิจกรรมเสริมหลักสูตร เดินทางไปโรงเรียน "สังคมผิดปกติ" ซึ่งเป็นผลกระทบที่ไม่พึงปรารถนาใด ๆ ที่ disrupts การดำเนินงานของสมาคมสันนิบาตชนิดอื่นได้ บกพร่องทางสังคมการศึกษารวมถึงไม่ได้รับเกรดดี งาน เมอร์ระบุว่า การจดจำ และตรวจสอบด้านนบาสังคม เราสามารถอธิบายการพัฒนาและการคงอยู่ของทางเลือก ดังนั้น เป็นโฮลม์วูดเกสท์อเมริกา "เมอร์ชัดเจนทำปัญหากลางอำนาจและความขัดแย้งภายในกระบวนทัศน์ผลงานวิจัย"

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

พาร์สัน ( Talcott Talcott Parsons 1902-1979 )
ถูกอิทธิพลอย่างมากจากมิล เดอร์ไคม์และแม็กซ์ เวเบอร์ สังเคราะห์มากของการทำงานของพวกเขาในทฤษฎีการกระทำของเขา ที่เขาใช้ในระบบแนวคิดทฤษฎีและหลักการวิธีการของการกระทำ เขากล่าวว่า " ระบบสังคมที่ถูกสร้างขึ้นจากการกระทำของบุคคล . " จุดเริ่มต้นของเขาตามมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสองคนเผชิญกับความหลากหลายของตัวเลือกเกี่ยวกับวิธีการที่พวกเขาอาจจะทำ ทางเลือกที่ได้รับอิทธิพลและกำหนดโดยจำนวนของปัจจัยทางกายภาพและสังคม
พาร์สันระบุว่า แต่ละคนมีความคาดหวังของอื่น ๆของการกระทำและปฏิกิริยากับพฤติกรรมของเขาเองและความคาดหวังเหล่านี้จะ ( ถ้าสำเร็จ ) จะ " ได้มา " จากการยอมรับบรรทัดฐานและค่านิยมของสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ เป็น Parsons เองเน้นในบริบททั่วไป จะไม่มีใด ๆที่สมบูรณ์แบบพอดี " " ระหว่างพฤติกรรมและบรรทัดฐาน ดังนั้นเช่นความสัมพันธ์ที่ไม่สมบูรณ์ หรือ " สมบูรณ์แบบ "
บรรทัดฐานทางสังคมอยู่เสมอปัญหาสำหรับพาร์สันส์ใครที่เคยอ้างว่า ( มักจะถูกกล่าวหาว่าบรรทัดฐานสังคมโดยทั่วไปยอมรับและตกลง , นี้ควรป้องกันบางชนิดของกฎหมายสากล . ไม่ว่าจะเป็นบรรทัดฐานทางสังคมได้รับการยอมรับ หรือ ไม่ก็ พาร์สันเพียงประวัติศาสตร์คำถาม .
เป็นพฤติกรรมซ้ำในการโต้ตอบมากขึ้นและความคาดหวังเหล่านี้จะถูกขังหรือ institutionalized , บทบาทที่ถูกสร้างขึ้นพาร์สัน กำหนดเป็น " บทบาท " เป็น normatively ควบคุมการมีส่วนร่วมของบุคคลในกระบวนการของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคอนกรีตเฉพาะคู่บทบาทคอนกรีต . " แม้ว่าบุคคลใด ในทางทฤษฎี สามารถเติมเต็มบทบาทใด ๆ บุคคลคาดว่าจะเป็นไปตามบรรทัดฐานว่าด้วยธรรมชาติของบทบาทที่พวกเขาตอบสนองทฤษฎีการกระทํา

.เขากระตือรือร้นที่จะแยกแยะการกระทำจากทฤษฎีพฤติกรรมนิยม . พฤติกรรมที่แสดงถึงการตอบสนองเชิงกลกับสิ่งเร้า ในขณะที่การกระทำ หมายถึง การใช้งาน , สร้างสรรค์ , ' กระบวนการทางจิต ' ----- ทำตัวเป็นหน่วยฯ ที่กำหนดไว้ในข้อตกลงของ 4 องค์ประกอบ คือ จบ นักแสดง หรืออนาคตรัฐต่อ ซึ่งการกระทำที่มุ่งเน้น -- สถานการณ์ ; ที่เกี่ยวข้องกับสององค์ประกอบสิ่งปกติ ) และค่า
Robert Merton ( 1910-2003 )
Robert K .เมอร์ตันเป็นคติคำนึงประโยชน์ . เขาไม่ได้ตกลงกับทฤษฎี Parsons ' อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่ามันเป็นปัญหา เชื่อว่า มันเป็น ทั่วไป โฮล์มวู้ด 2005:100 [ , ] เมอร์ตัน มีแนวโน้มระยะกลางเน้นทฤษฎีมากกว่าทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ หมายความว่า เขาสามารถจัดการเฉพาะกับบางส่วนของข้อ จำกัด ในทฤษฎีของพาร์สัน 'เมอร์ตัน เชื่อว่า สังคมใด ๆโครงสร้างอาจมีฟังก์ชันมากมาย ชัดเจนมากขึ้นกว่าคนอื่น ๆ เขาระบุ 3 ข้อ จำกัด หลักเอกภาพ หน้าที่ การทำงานสากลและ indispensability เหมาะสมใน Gingrich [ 2542 ] เขายังได้พัฒนาแนวคิดของการเบี่ยงเบนและทำให้ความแตกต่างระหว่างฟังก์ชั่นรายการ และแฝงฟังก์ชันชัดแจ้งว่ายอมรับและตั้งใจที่จะตามมาของสังคมใด ๆ รูปแบบ แฝงฟังก์ชันเรียกว่าไม่รู้จัก และผลข้างเคียงของสังคมใด ๆ รูปแบบ
เขากล่าวว่าไม่ทุกส่วนของงานสังคมซับซ้อนทันสมัยเพื่อเอกภาพการทำงานของสังคม จากนั้นมีสังคมบกพร่องเรียกว่าแบบแผนทางสังคมใด ๆที่อาจรบกวนการดำเนินงานของสังคม บางสถาบันและโครงสร้างอาจจะมีหน้าที่อื่น ๆและบางส่วนอาจจะโดยทั่วไปจะผิดปกติ หรือการทำงานที่ผิดปกติบาง ในขณะที่สำหรับคนอื่น ๆ นี้เป็นเพราะโครงสร้างไม่ทั้งหมดมีฟังก์ชันสำหรับสังคมโดยรวมมีการปฏิบัติงานเฉพาะบุคคลเด่น กลุ่ม หรือ โฮล์มวู้ด 2005:91 [ , ] มีสองประเภทของฟังก์ชั่นที่เมอร์ตัน กล่าวถึง " แสดงรายการฟังก์ชัน " ในรูปแบบที่สังคมยอมรับและสามารถกระตุ้นผลไว้ ฟังก์ชั่นรายการของการศึกษา รวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับอาชีพโดยได้รับคะแนนดี จบการศึกษาและการหางานที่ดีประเภทที่สองของฟังก์ชัน คือ " หน้าที่ " แฝง ซึ่งรูปแบบสังคมในแบบที่ไม่รู้จัก หรือ ไม่ตั้งใจ ผล ฟังก์ชันแฝงของการศึกษารวมถึงการพบปะผู้คนใหม่ หลักสูตร กิจกรรม ทริปของโรงเรียน ประเภทของฟังก์ชันสังคมอื่นเป็น " ความผิดปกติทางสังคม " ซึ่งผลที่ไม่พึงประสงค์ใด ๆ ปัญหาการดำเนินงานของสมาคมสังคม การศึกษา รวมถึงความผิดปกติของไม่ได้รับเกรด ดี งาน เมอร์ตัน ระบุว่า จากการตรวจสอบการผิดปกติด้านของสังคม เราสามารถอธิบายการพัฒนาและการเก็บรักษาของทางเลือก ดังนั้น เท่าที่ โฮล์มวู้ดรัฐ " Merton อย่างชัดเจนทำให้อำนาจและความขัดแย้งประเด็นศูนย์กลางสำหรับการวิจัยภายในคติคำนึงประโยชน์กระบวนทัศน์ "