ตำนานอินทขิลและประเพณีบูชาอินทขิลพิธีบูชาเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมือง ซึ การแปล - ตำนานอินทขิลและประเพณีบูชาอินทขิลพิธีบูชาเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมือง ซึ ไทย วิธีการพูด

ตำนานอินทขิลและประเพณีบูชาอินทขิลพิ

ตำนานอินทขิลและประเพณีบูชาอินทขิล

พิธีบูชาเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมือง ซึ่งชาวเชียงใหม่เชื่อว่าเป็นเสาหลักที่สร้างความมั่นคง การอยู่ดีมีสุขให้คนเชียงใหม่ อินทขิลหรือเรียกว่า เสาหลักเมืองเชียงใหม่ ชาวเชียงใหม่ทราบดีว่า ทุกๆ ปีจะต้องมีพิธีสักการะบูชาเสาอินทขิล เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ให้แก่ชาวบ้านชาวเมืองรวมทั้งผู้ที่ทำเกี่ยวกับเกษตรโดยการเพาะปลูก โดยงานดังกล่าวได้อัญเชิญพระเจ้าฝนแสนห่าอันเป็นพระพุทธรูปที่บันดาลให้ฝนตกมาเป็นประธานในขบวนแห่และมีการสวดคาถาอินทขิลของหมู่สงฆ์ด้วย ชาวเชียงใหม่จะทำพิธีบูชาอินทขิลในตอนปลายเดือน 8 ต่อเดือน 9 หรือระหว่างเดือนพฤษภาคมต่อเดือนมิถุนายน โดยเริ่มในวันแรม 3 ค่ำ เดือน 8 เรียกว่า วันเข้าอินทขิล การเข้าอินทขิลจะมีไปจนถึงในวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 9 ซึ่งเป็นวันออกอินทขิล จึงเรียกว่า เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก

ตำนานอินทขิลหรือตำนานสุวรรณคำแดงที่พระมหาหมื่นวุฑฒิญาโณ วัดหอธรรม เชียงใหม่ เล่าความเป็นมาของเสาอินทขิลไว้ว่า บริเวณที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ศูนย์กลางอาณาจักรล้านนานั้น เป็นที่ตั้งบ้านเมืองของชาวลัวะ ในเมืองนี้มีผีหลอกหลอนทำให้ชาวเมืองเดือดร้อนไม่เป็นอันทำมาหากิน อดอยากยากจน พระอินทร์จึงได้ประทานความช่วยเหลือ บันดาลบ่อเงิน บ่อทองและบ่อแก้วไว้ในเมือง ให้เศรษฐีลัวะ 9 ตระกูล แบ่งกันดูแลบ่อทั้ง 3 บ่อละ 3 ตระกูล โดยชาวลัวะต้องถือศีลรักษาคำสัตย์ เมื่อชาวลัวะอธิษฐานสิ่งใดก็จะได้ดังสมปรารถนา ซึ่งชาวลัวะก็ปฏิบัติตามเป็นอย่างดี บรรดาชาวลัวะทั้งหลายต่างก็มีความสุขความอุดมสมบูรณ์ ข่าวความสุขความอุดมสมบูรณ์ของเวียงนพบุรี ซึ่งเป็นตระกูลของชาวลัวะเลื่องลือไปไกลและได้ชักนำให้เมืองอื่นยกทัพมาขอแบ่งปัน ชาวลัวะตกใจจึงขอให้ฤๅษีนำความไปกราบทูลพระอินทร์ พระอินทร์จึงให้กุมภัณฑ์ หรือยักษ์ 2 ตน ขุดอินทขิล หรือ เสาตะปูพระอินทร์ ใส่สาแหรกเหล็กหาบไปฝังไว้กลางเวียงนพบุรี เสาอินทขิลมีฤทธิ์มากดลบันดาลให้ข้าศึกที่มากลายร่างเป็นพ่อค้า พ่อค้าเหล่านั้นต่างตั้งใจมาขอสมบัติจากบ่อทั้งสาม ชาวลัวะแนะนำให้พ่อค้าถือศีลรักษาคำสัตย์และอย่าละโมบ เมื่อขอสิ่งใดก็จะได้ พ่อค้าบางคนทำตาม บางคนไม่ทำตาม บางคนละโมบ ทำให้กุมภัณฑ์ 2 ตน ที่เฝ้าเสาอินทขิลโกรธพากันหามเสาอินทขิลกลับขึ้นสวรรค์ไป และบ่อเงิน บ่อทอง บ่อแก้ว ก็เสื่อมลง มีชาวลัวะผู้เฒ่าคนหนึ่งไปบูชาเสาอินทขิลอยู่เสมอ ทราบว่ายักษ์ทั้งสองนำเสาอินทขิลกลับสวรรค์ไปแล้ว ก็เสียใจมากจึงถือบวชนุ่งขาวห่มขาว บำเพ็ญศีลภาวนาใต้ต้นยางเป็นเวลานานถึง 3 ปี ก็มีพระเถระรูปหนึ่งทำนายว่า ต่อไปบ้านเมืองจะถึงกาลวิบัติ ชาวลัวะเกิดความกลัวจึงขอร้องให้พระเถระรูปนั้นช่วยเหลือ พระเถระบอกว่า ให้ชาวลัวะร่วมกันหล่ออ่างขางหรือกระทะขนาดใหญ่ แล้วใส่รูปปั้นต่างๆ อย่างละ 1 คู่ ปั้นรูปคนชายหญิงให้ครบร้อยเอ็ดภาษาใส่กระทะใหญ่ลงฝังในหลุมแล้วทำเสาอินทขิลไว้เบื้องบนทำพิธีสักการบูชา จะทำให้บ้านเมืองพ้นภัยพิบัติ การทำพิธีบวงสรวงสักการบูชาจึงกลายเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

เดิมมีเสาอินทขิลประดิษฐานอยู่ ณ วัดสะดือเมือง หรือวัดอินทขิล ซึ่งตั้งอยู่ ณ กลางเวียงเชียงใหม่ ปัจจุบันก็คือ บริเวณหอประชุมติโลกราช ข้างศาลากลางจังหวัดเก่า ในตำนานกล่าวว่า เสาอินทขิลเดิมนั้นหล่อด้วยโลหะ จนกระทั่งสมัยพระเจ้ากาวิละ ราวปี พ.ศ. 2343 ได้ย้ายเสาอินทขิลไปไว้ที่วัดเจดีย์หลวง โดยบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เป็นเสาปูน และทำพิธีบวงสรวงเป็นประเพณีสืบกันมา ปัจจุบันนี้เสาอินทขิลที่อยู่ในวิหาร เป็นเสาปูนปั้นติดกระจกสี บนเสาเป็นบุษบกประดิษฐานพระพุทธรูปปางรำพึง เสาอินทขิลนี้สูง 1.30 เมตร วัดรอบได้ 67 เมตร แท่นพระสูง 0.97 เมตร วัดโดยรอบได้ 3.40 เมตร

ประเพณีอินทขิล ในสมัยเจ้าผู้ครองนครกับปัจจุบันนี้แตกต่างกันมาก ในอดีตเจ้าผู้ครองนครจะเริ่มพิธีด้วยการเซ่นสังเวยเทพยาดาอารักษ์ ผีบ้าน ผีเมือง และบูชากุมภัณฑ์ พร้อมกับเชิญผีเจ้านายลงทรง เพื่อถามความเป็นไปของบ้านเมืองว่าจะดีจะร้ายอย่างไร ฟ้าฝนจะอุดมสมบูรณ์หรือไม่ หากคนทรงทำนายว่าบ้านเมืองชะตาไม่ดี ก็จะทำพิธีสืบชะตาเมือง เพื่อแก้ไขปัดเป่าให้เบาบางลง นอกจากนี้ยังมีการซอและการฟ้อนดาบ เป็นเครื่องสักการะถวายแด่วิญญาณบรรพบุรุษด้วย พิธีกรรมนี้ทำสืบต่อมาจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงหยุดไป ปัจจุบันเทศบาลนครเชียงใหม่ได้ดำเนินการสืบทอดประเพณีอินทขิล โดยมีพิธีทางพุทธศาสนาเข้ามาผสมผสาน ในวันแรกของการเข้าอินทขิล มีการแห่พระเจ้าฝนแสนห่า หรือพระพุทธรูปคันธารราษฎร์รอบตัวเมือง เพื่อให้ประชาชนสรงน้ำและใส่ขันดอก เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต ส่วนภายในวิหารอินทขิล พระสงฆ์ 9 รูป จะทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์บูชาเสาอินทขิล ซึ่งฝังอยู่ใต้ดินภายใต้บุษบกที่ประดิษฐานองค์พระพุทธรูป เมื่อเสร็จพิธีจะมีมหรสพสมโภชตลอดงาน

วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมากษัตริย์รัชกาลที่ 7 ราชวงศ์มังราย ซึ่งครองราชอาณาจักรล้านนาไทย พระองค์ทรงสร้างพระธาตุเจดีย์หลวงขึ้นเมื่อ พ.ศ.1934 ด้านหน้า พระวิหารหลวง เป็นที่ตั้งของเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมือง เสานี้ก่อด้วยอิฐถือปูน และกล่าวว่า แต่เดิมอยู่ที่วัดสะดือเมือง (หรือวัดอินทขิล) ซึ่งเป็นที่ตั้งหอประชุมติโลกราชข้างศาลากลางหลังเก่า ครั้นต่อมาในสมัยพระเจ้ากาวิละ ครองเมืองเชียงใหม่ ให้ย้ายเสาอินทขิลมาไว้ที่วัดเจดีย์หลวง และได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ พร้อมทั้งสร้างวิหารครอบไว้เมือปี พ.ศ.2343 ต่อมา วิหารอินทขิลได้ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา พอปี พ.ศ.2496 ครูบาขาวปี นักบุญแห่งล้านนาไทยอีกท่านหนึ่ง จึงได้สร้าง วิหารอินทขิลขึ้นใหม่ ในรูปทรงหรือสถาปัตยกรรมดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน และท่าน ยังนำเอาพระพุทธรูปปางขอฝน หรือ พระคันธารราษฎร์ประดิษฐานไว้บนเสาอินทขิลอีกด้วย เพื่อให้ชาวเมืองได้กราบไหว้บูชาคู่กับหลักเมือง ต่อมาปี พ.ศ.2514 นางสุรางค์ เจริญบุญ ได้บริจาคทรัพย์ 100,000 บาท ทำการซ่อมแซมวิหารอินทขิลอีกครั้ง เสาอินทขิล (เสาที่พระอินทร ์ประทานให้) เป็นเสาหลักบ้านหลักเมืองคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ เป็นที่เคารพสักการะ และนับถือว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่รวม วิญญาณของชาวเมือง และบรรพบุรุษในอดีต เป็นปูชนียสถ
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ตำนานอินทขิลและประเพณีบูชาอินทขิล

พิธีบูชาเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมืองซึ่งชาวเชียงใหม่เชื่อว่าเป็นเสาหลักที่สร้างความมั่นคงการอยู่ดีมีสุขให้คนเชียงใหม่อินทขิลหรือเรียกว่าเสาหลักเมืองเชียงใหม่ชาวเชียงใหม่ทราบดีว่าทุก ๆ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตให้แก่ชาวบ้านชาวเมืองรวมทั้งผู้ที่ทำเกี่ยวกับเกษตรโดยการเพาะปลูก ชาวเชียงใหม่จะทำพิธีบูชาอินทขิลในตอนปลายเดือน 8 ต่อเดือน 9 หรือระหว่างเดือนพฤษภาคมต่อเดือนมิถุนายนโดยเริ่มในวันแรม 3 ค่ำเดือน 8 เรียกว่าวันเข้าอินทขิลการเข้าอินทขิลจะมีไปจนถึงในวันขึ้น 4 ค่ำเดือน 9 จึงเรียกว่าเดือน 8 เข้าเดือน 9 ออก

ตำนานอินทขิลหรือตำนานสุวรรณคำแดงที่พระมหาหมื่นวุฑฒิญาโณวัดหอธรรมเชียงใหม่เล่าความเป็นมาของเสาอินทขิลไว้ว่าบริเวณที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ศูนย์กลางอาณาจักรล้านนานั้นเป็นที่ตั้งบ้านเมืองของชาวลัวะ อดอยากยากจนพระอินทร์จึงได้ประทานความช่วยเหลือบันดาลบ่อเงินบ่อทองและบ่อแก้วไว้ในเมืองให้เศรษฐีลัวะ 9 ตระกูลแบ่งกันดูแลบ่อทั้ง 3 บ่อละ 3 ตระกูลโดยชาวลัวะต้องถือศีลรักษาคำสัตย์ ซึ่งชาวลัวะก็ปฏิบัติตามเป็นอย่างดีบรรดาชาวลัวะทั้งหลายต่างก็มีความสุขความอุดมสมบูรณ์ข่าวความสุขความอุดมสมบูรณ์ของเวียงนพบุรี ชาวลัวะตกใจจึงขอให้ฤๅษีนำความไปกราบทูลพระอินทร์พระอินทร์จึงให้กุมภัณฑ์หรือยักษ์ 2 ตนขุดอินทขิลหรือเสาตะปูพระอินทร์ใส่สาแหรกเหล็กหาบไปฝังไว้กลางเวียงนพบุรี พ่อค้าเหล่านั้นต่างตั้งใจมาขอสมบัติจากบ่อทั้งสามชาวลัวะแนะนำให้พ่อค้าถือศีลรักษาคำสัตย์และอย่าละโมบเมื่อขอสิ่งใดก็จะได้พ่อค้าบางคนทำตามบางคนไม่ทำตามบางคนละโมบทำให้กุมภัณฑ์ 2 ตน และบ่อเงินบ่อทองบ่อแก้วก็เสื่อมลงมีชาวลัวะผู้เฒ่าคนหนึ่งไปบูชาเสาอินทขิลอยู่เสมอทราบว่ายักษ์ทั้งสองนำเสาอินทขิลกลับสวรรค์ไปแล้วก็เสียใจมากจึงถือบวชนุ่งขาวห่มขาว 3 ปีก็มีพระเถระรูปหนึ่งทำนายว่าต่อไปบ้านเมืองจะถึงกาลวิบัติชาวลัวะเกิดความกลัวจึงขอร้องให้พระเถระรูปนั้นช่วยเหลือพระเถระบอกว่าให้ชาวลัวะร่วมกันหล่ออ่างขางหรือกระทะขนาดใหญ่แล้วใส่รูปปั้นต่าง ๆ 1 คู่ปั้นรูปคนชายหญิงให้ครบร้อยเอ็ดภาษาใส่กระทะใหญ่ลงฝังในหลุมแล้วทำเสาอินทขิลไว้เบื้องบนทำพิธีสักการบูชาจะทำให้บ้านเมืองพ้นภัยพิบัติการทำพิธีบวงสรวงสักการบูชาจึงกลายเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

เดิมมีเสาอินทขิลประดิษฐานอยู่ณวัดสะดือเมืองหรือวัดอินทขิลซึ่งตั้งอยู่ณกลางเวียงเชียงใหม่ปัจจุบันก็คือบริเวณหอประชุมติโลกราชข้างศาลากลางจังหวัดเก่าในตำนานกล่าวว่าเสาอินทขิลเดิมนั้นหล่อด้วยโลหะ ราวปีพศ 2343 ได้ย้ายเสาอินทขิลไปไว้ที่วัดเจดีย์หลวงโดยบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เป็นเสาปูนและทำพิธีบวงสรวงเป็นประเพณีสืบกันมาปัจจุบันนี้เสาอินทขิลที่อยู่ในวิหารเป็นเสาปูนปั้นติดกระจกสี เสาอินทขิลนี้สูง 1เมตร 30 วัดรอบได้ 67 เมตรเมตรแท่นพระสูง 0.97 วัดโดยรอบได้ 3.40 เมตร

ประเพณีอินทขิลในสมัยเจ้าผู้ครองนครกับปัจจุบันนี้แตกต่างกันมากในอดีตเจ้าผู้ครองนครจะเริ่มพิธีด้วยการเซ่นสังเวยเทพยาดาอารักษ์ผีบ้านผีเมืองและบูชากุมภัณฑ์พร้อมกับเชิญผีเจ้านายลงทรง ฟ้าฝนจะอุดมสมบูรณ์หรือไม่หากคนทรงทำนายว่าบ้านเมืองชะตาไม่ดีก็จะทำพิธีสืบชะตาเมืองเพื่อแก้ไขปัดเป่าให้เบาบางลงนอกจากนี้ยังมีการซอและการฟ้อนดาบเป็นเครื่องสักการะถวายแด่วิญญาณบรรพบุรุษด้วย 2 จึงหยุดไปปัจจุบันเทศบาลนครเชียงใหม่ได้ดำเนินการสืบทอดประเพณีอินทขิลโดยมีพิธีทางพุทธศาสนาเข้ามาผสมผสานในวันแรกของการเข้าอินทขิลมีการแห่พระเจ้าฝนแสนห่าหรือพระพุทธรูปคันธารราษฎร์รอบตัวเมือง เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตส่วนภายในวิหารอินทขิลพระสงฆ์ 9 รูปจะทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์บูชาเสาอินทขิลซึ่งฝังอยู่ใต้ดินภายใต้บุษบกที่ประดิษฐานองค์พระพุทธรูปเมื่อเสร็จพิธีจะมีมหรสพสมโภชตลอดงาน

วัดเจดีย์หลวงวรวิหารอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมากษัตริย์รัชกาลที่ 7 ราชวงศ์มังรายซึ่งครองราชอาณาจักรล้านนาไทยพระองค์ทรงสร้างพระธาตุเจดีย์หลวงขึ้นเมื่อพ.ศ1934 ด้านหน้าพระวิหารหลวงเป็นที่ตั้งของเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมืองเสานี้ก่อด้วยอิฐถือปูนและกล่าวว่าแต่เดิมอยู่ที่วัดสะดือเมือง (หรือวัดอินทขิล) ซึ่งเป็นที่ตั้งหอประชุมติโลกราชข้างศาลากลางหลังเก่า ครองเมืองเชียงใหม่ให้ย้ายเสาอินทขิลมาไว้ที่วัดเจดีย์หลวงและได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่พร้อมทั้งสร้างวิหารครอบไว้เมือปีพศ.2343 ต่อมาวิหารอินทขิลได้ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลาพอปีพ.ศ2496 ครูบาขาวปีนักบุญแห่งล้านนาไทยอีกท่านหนึ่งจึงได้สร้างวิหารอินทขิลขึ้นใหม่ในรูปทรงหรือสถาปัตยกรรมดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันและท่านยังนำเอาพระพุทธรูปปางขอฝน เพื่อให้ชาวเมืองได้กราบไหว้บูชาคู่กับหลักเมืองต่อมาปีพศ.2514 นางสุรางค์เจริญบุญได้บริจาคทรัพย์ 100000 บาททำการซ่อมแซมวิหารอินทขิลอีกครั้งเสาอินทขิล (เสาที่พระอินทร์ประทานให้) เป็นเสาหลักบ้านหลักเมืองคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่เป็นที่เคารพสักการะและนับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รวม และบรรพบุรุษในอดีตเป็นปูชนียสถ
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
การอยู่ดีมีสุขให้คนเชียงใหม่อินทขิลหรือเรียกว่าเสาหลักเมืองเชียงใหม่ชาวเชียงใหม่ทราบดีว่าทุกๆ 8 ต่อเดือน 9 โดยเริ่มในวันแรม 3 ค่ำเดือน 8 เรียกว่าวันเข้าอินทขิล 4 ค่ำเข้าเดือน 9 เดือน 9 ซึ่งเป็นวันออกอินทขิลจึงเรียกว่าเดือน 8 วัดหอธรรมเชียงใหม่เล่าความเป็นมาของเสาอินทขิลไว้ว่า เป็นที่ตั้งบ้านเมืองของชาวลัวะ อดอยากยากจน บันดาลบ่อเงินบ่อทองและบ่อแก้วไว้ในเมืองให้เศรษฐีลัวะ 9 ตระกูลแบ่งกันดูแลบ่อทั้ง 3 บ่อละ 3 ตระกูลโดยชาวลัวะต้องถือศีลรักษาคำสัตย์ พระอินทร์จึงให้กุมภัณฑ์หรือยักษ์ 2 ตนขุดอินทขิลหรือเสาตะปูพระอินทร์ เมื่อขอสิ่งใดก็จะได้พ่อค้าบางตามบางทำตามบางทำให้กุมภัณฑ์ 2 ตนคนทำคนไม่คนละโมบ และบ่อเงินบ่อทองบ่อแก้วก็เสื่อมลง ก็เสียใจมากจึงถือบวชนุ่งขาวห่มขาว 3 ปีก็มีพระเถระรูปหนึ่งทำนายว่าต่อไปบ้านเมืองจะถึงกาลวิบัติ พระเถระบอกว่า แล้วใส่รูปปั้นต่างๆอย่างละ 1 คู่ จะทำให้บ้านเมืองพ้นภัยพิบัติ ณ วัดสะดือเมืองหรือวัดอินทขิลซึ่งตั้งอยู่ ณ กลางเวียงเชียงใหม่ปัจจุบันก็คือบริเวณหอประชุมติโลกราชข้างศาลากลางจังหวัดเก่าในตำนานกล่าวว่าเสาอินทขิลเดิมนั้นหล่อด้วยโลหะจนกระทั่งสมัยพระเจ้ากาวิละ ราวปี พ.ศ. 2343 เป็นเสาปูนปั้นติดกระจกสี เสาอินทขิลนี้สูง 1.30 เมตรวัดรอบได้ 67 เมตรแท่นพระสูง 0.97 เมตรวัดโดยรอบได้ 3.40 เมตรประเพณีอินทขิล ผีบ้านผีเมืองและบูชากุมภัณฑ์พร้อมกับเชิญผีเจ้านายลงทรง ฟ้าฝนจะอุดมสมบูรณ์หรือไม่ ก็จะทำพิธีสืบชะตาเมืองเพื่อแก้ไขปัดเป่าให้เบาบางลงนอกจากนี้ยังมีการซอและการฟ้อนดาบ 2 จึงหยุดไป ในวันแรกของการเข้าอินทขิลมีการแห่พระเจ้าฝนแสนห่า เพื่อให้ประชาชนสรงน้ำและใส่ขันดอกเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตส่วนภายในวิหารอินทขิลพระสงฆ์ 9 รูป อำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ 7 ราชวงศ์มังรายซึ่งครองราชอาณาจักรล้านนาไทย พ.ศ. 1934 ด้านหน้าพระวิหารหลวง เสานี้ก่อด้วยอิฐถือปูนและกล่าวว่า แต่เดิมอยู่ที่วัดสะดือเมือง (หรือวัดอินทขิล) ครั้นต่อมาในสมัยพระเจ้ากาวิละครองเมืองเชียงใหม่ และได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่พร้อมทั้งสร้างวิหารครอบไว้เมือปี พ.ศ. 2343 ต่อมา พอปี พ.ศ. 2496 ครูบาขาวปีนักบุญแห่งล้านนาไทยอีกท่านหนึ่งจึงได้สร้างวิหารอินทขิลขึ้นใหม่ และท่านยังนำเอาพระพุทธรูปปางขอฝนหรือ ต่อมาปี 2514 นางสุรางค์เจริญบุญได้บริจาคทรัพย์ 100,000 บาททำการซ่อมแซมวิหารอินทขิลอีกครั้งเสาอินทขิล (เสาที่พระอินทร์ประทานให้) พ.ศ. เป็นที่เคารพสักการะและนับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รวมวิญญาณของชาวเมืองและบรรพบุรุษในอดีตเป็นปูชนียสถ









การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
ตำนานอินทขิลและประเพณีบูชาอินทขิล

พิธีบูชาเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมืองซึ่งชาวเชียงใหม่เชื่อว่าเป็นเสาหลักที่สร้างความมั่นคงการอยู่ดีมีสุขให้คนเชียงใหม่อินทขิลหรือเรียกว่าเสาหลักเมืองเชียงใหม่ชาวเชียงใหม่ทราบดีว่าทุกๆเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตให้แก่ชาวบ้านชาวเมืองรวมทั้งผู้ที่ทำเกี่ยวกับเกษตรโดยการเพาะปลูกชาวเชียงใหม่จะทำพิธีบูชาอินทขิลในตอนปลายเดือน 8 ต่อเดือน 9 หรือระหว่างเดือนพฤษภาคมต่อเดือนมิถุนายนโดยเริ่มในวันแรม 3 ค่ำเดือน 8 เรียกว่าวันเข้าอินทขิลการเข้าอินทขิลจะมีไปจนถึงในวันขึ้น 4 ค่ำเดือน 9จึงเรียกว่าเดือน 8 เข้าเดือนออก
9
ตำนานอินทขิลหรือตำนานสุวรรณคำแดงที่พระมหาหมื่นวุฑฒิญาโณวัดหอธรรมเชียงใหม่เล่าความเป็นมาของเสาอินทขิลไว้ว่าบริเวณที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ศูนย์กลางอาณาจักรล้านนานั้นเป็นที่ตั้งบ้านเมืองของชาวลัวะอดอยากยากจนพระอินทร์จึงได้ประทานความช่วยเหลือบันดาลบ่อเงินบ่อทองและบ่อแก้วไว้ในเมืองให้เศรษฐีลัวะ 9 ตระกูลแบ่งกันดูแลบ่อทั้ง 3 บ่อละ 3 ตระกูลโดยชาวลัวะต้องถือศีลรักษาคำสัตย์ซึ่งชาวลัวะก็ปฏิบัติตามเป็นอย่างดีบรรดาชาวลัวะทั้งหลายต่างก็มีความสุขความอุดมสมบูรณ์ข่าวความสุขความอุดมสมบูรณ์ของเวียงนพบุรีชาวลัวะตกใจจึงขอให้ฤๅษีนำความไปกราบทูลพระอินทร์พระอินทร์จึงให้กุมภัณฑ์หรือยักษ์ 2 สภาพจิตใจขุดอินทขิลค็อคเสาตะปูพระอินทร์ใส่สาแหรกเหล็กหาบไปฝังไว้กลางเวียงนพบุรีพ่อค้าเหล่านั้นต่างตั้งใจมาขอสมบัติจากบ่อทั้งสามชาวลัวะแนะนำให้พ่อค้าถือศีลรักษาคำสัตย์และอย่าละโมบเมื่อขอสิ่งใดก็จะได้พ่อค้าบางคนทำตามบางคนไม่ทำตามบางคนละโมบทำให้กุมภัณฑ์ 2 สภาพจิตใจและบ่อเงินบ่อทองบ่อแก้วก็เสื่อมลงมีชาวลัวะผู้เฒ่าคนหนึ่งไปบูชาเสาอินทขิลอยู่เสมอทราบว่ายักษ์ทั้งสองนำเสาอินทขิลกลับสวรรค์ไปแล้วก็เสียใจมากจึงถือบวชนุ่งขาวห่มขาว3 . ก็มีพระเถระรูปหนึ่งทำนายว่าต่อไปบ้านเมืองจะถึงกาลวิบัติชาวลัวะเกิดความกลัวจึงขอร้องให้พระเถระรูปนั้นช่วยเหลือพระเถระบอกว่าให้ชาวลัวะร่วมกันหล่ออ่างขางหรือกระทะขนาดใหญ่แล้วใส่รูปปั้นต่างๆ1 คู่ปั้นรูปคนชายหญิงให้ครบร้อยเอ็ดภาษาใส่กระทะใหญ่ลงฝังในหลุมแล้วทำเสาอินทขิลไว้เบื้องบนทำพิธีสักการบูชาจะทำให้บ้านเมืองพ้นภัยพิบัติการทำพิธีบวงสรวงสักการบูชาจึงกลายเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

เดิมมีเสาอินทขิลประดิษฐานอยู่ณวัดสะดือเมืองหรือวัดอินทขิลซึ่งตั้งอยู่ณกลางเวียงเชียงใหม่ปัจจุบันก็คือบริเวณหอประชุมติโลกราชข้างศาลากลางจังหวัดเก่าในตำนานกล่าวว่าเสาอินทขิลเดิมนั้นหล่อด้วยโลหะราวปีพ .ศ .2343 ได้ย้ายเสาอินทขิลไปไว้ที่วัดเจดีย์หลวงโดยบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เป็นเสาปูนและทำพิธีบวงสรวงเป็นประเพณีสืบกันมาปัจจุบันนี้เสาอินทขิลที่อยู่ในวิหารเป็นเสาปูนปั้นติดกระจกสีเสาอินทขิลนี้สูง 130 เมตรวัดรอบได้ 67 เมตรแท่นพระสูง 0.97 เมตรวัดโดยรอบได้ 3.40 เมตร

ประเพณีอินทขิลในสมัยเจ้าผู้ครองนครกับปัจจุบันนี้แตกต่างกันมากในอดีตเจ้าผู้ครองนครจะเริ่มพิธีด้วยการเซ่นสังเวยเทพยาดาอารักษ์ผีบ้านผีเมืองและบูชากุมภัณฑ์พร้อมกับเชิญผีเจ้านายลงทรงฟ้าฝนจะอุดมสมบูรณ์หรือไม่หากคนทรงทำนายว่าบ้านเมืองชะตาไม่ดีก็จะทำพิธีสืบชะตาเมืองเพื่อแก้ไขปัดเป่าให้เบาบางลงนอกจากนี้ยังมีการซอและการฟ้อนดาบเป็นเครื่องสักการะถวายแด่วิญญาณบรรพบุรุษด้วย2 จึงหยุดไปปัจจุบันเทศบาลนครเชียงใหม่ได้ดำเนินการสืบทอดประเพณีอินทขิลโดยมีพิธีทางพุทธศาสนาเข้ามาผสมผสานในวันแรกของการเข้าอินทขิลมีการแห่พระเจ้าฝนแสนห่าหรือพระพุทธรูปคันธารราษฎร์รอบตัวเมืองเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตส่วนภายในวิหารอินทขิลพระสงฆ์ 9 รูปจะทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์บูชาเสาอินทขิลซึ่งฝังอยู่ใต้ดินภายใต้บุษบกที่ประดิษฐานองค์พระพุทธรูปเมื่อเสร็จพิธีจะมีมหรสพสมโภชตลอดงาน

วัดเจดีย์หลวงวรวิหารอำเภอเมือง Thanawat Thongtan เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมากษัตริย์รัชกาลที่ 7 ราชวงศ์มังรายซึ่งครองราชอาณาจักรล้านนาไทยพระองค์ทรงสร้างพระธาตุเจดีย์หลวงขึ้นเมื่อพ . ศ .1934 ด้านหน้าพระวิหารหลวงเป็นที่ตั้งของเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมืองเสานี้ก่อด้วยอิฐถือปูน but tonight แต่เดิมอยู่ที่วัดสะดือเมือง ( หรือวัดอินทขิล ) ซึ่งเป็นที่ตั้งหอประชุมติโลกราชข้างศาลากลางหลังเก่าครองเมืองเชียงใหม่ให้ย้ายเสาอินทขิลมาไว้ที่วัดเจดีย์หลวงและได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่พร้อมทั้งสร้างวิหารครอบไว้เมือปีพ .ศ . 2343 ต่อมาวิหารอินทขิลได้ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลาพอปีพ . ศ .1720 ครูบาขาวปีนักบุญแห่งล้านนาไทยอีกท่านหนึ่งจึงได้สร้างวิหารอินทขิลขึ้นใหม่ในรูปทรงหรือสถาปัตยกรรมดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันและท่านยังนำเอาพระพุทธรูปปางขอฝนค็อคเพื่อให้ชาวเมืองได้กราบไหว้บูชาคู่กับหลักเมืองต่อมาปีพ .ศ . 2514 นางสุรางค์เจริญบุญได้บริจาคทรัพย์ 100000 บาททำการซ่อมแซมวิหารอินทขิลอีกครั้งเสาอินทขิล ( เสาที่พระอินทร์ประทานให้ ) เป็นเสาหลักบ้านหลักเมืองคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่เป็นที่เคารพสักการะและนับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รวมและบรรพบุรุษในอดีตเป็นปูชนียสถ
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: