การศึกษาค้นคว้าอิสระเรื่องอาหารฟ๊าดฟู๊ตมีแครอลี่มากกว่าอาหารตามสั่งจริงหรือไม่ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4/7 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยนครปฐม(พระตำหนักสวนกุหลายมัธยม)โดยศึกษาจากอินเทอร์เน็ตโดยได้ผลสรุปดังต่อไปนี้
1.อาหารฟาสฟู๊ตคือ คือ อาหารที่ปรุงเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว หรือทันเวลาพอดี (Just-in-time) และพร้อมกินได้ทันที ซึ่งโดยทั่วไปคนมักจะนึกถึงแต่อาหารจานด่วนของฝรั่งจำพวก พิซซ่า ไก่ทอด แฮมเบอร์เกอร์ ฮอทดอก ฯลฯ หาก ความจริงแล้วอาหารไทยบางประเภท ก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอาหารจานด่วนด้วยเหมือนกัน เช่น ข้าวราดแกง อาหารตามสั่งทุกชนิด ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำยา สุกี้ เป็นต้น ซึ่งอาหารดังกล่าวล้วนมีกรรมวิธีในการปรุงที่รวดเร็วและพร้อมกินได้เลย อาหารจานด่วนหรือที่หลายคนเรียกว่าอาหารขยะ(junk food) เป็นอาหารของชาวตะวันตก ที่เผยแพร่ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มีผู้ให้ความเห็นว่าการที่อาหารจานด่วนกลายเป็นที่นิยมของคนทั่วๆไปก็เพราะ ว่าเน้นที่ความสะดวกรวดเร็ว และลูกค้าสามารถซื้อไปกินได้ทุกที่ทุกเวลา นั่งกินในร้าน ในรถ ที่ทำงาน กินไปทำงานไป กินในเวลาเร่งรีบ โดยมีเพียงกระดาษรอง และทิ้งได้ทันทีเมื่อกินเสร็จ ปัจจุบันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นแฟชั่นไปแล้ว ว่าต้องกินอาหารฟาสฟูดหรืออาหารจานด่วน การบริโภคอาหารจานด่วนโดยขาดความยั้งคิดนั้น นอกจากตัวเลขของน้ำหนักจะพุ่งพรวดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมที่สะสมในร่างกายยังเป็นสาเหตุหลักของการนำมาซึ่งอาการเจ็บป่วย ต่างๆ อีกสารพัดโรค รวมทั้งยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดต่ำลงอีกด้วย ผลเสียจากการรับประทานอาหารจานด่วน
2. ผลเสียของอาหารฟาสฟู๊ด
1.) โรคกระดูกข้ออักเสบ เป็นโรคยอดฮิตของคนที่มีน้ำหนักส่วนเกินมาก เพราะน้ำหนักส่วนเกินที่เกิดจากการสะสมของน้ำตาล และไขมันนั้น จะทำให้กระดูกเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ช่องว่างระหว่างข้อต่อจะหดแคบลงจนบดซ้อนทับกันในที่สุด นำมาซึ่งอาการปวดเมื่อยตามกระดูกข้อเข่า สะโพก และชาตามกระดูกสันหลัง
2.) โรคอ้วน ผลเสียที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากการกินอาหารจานด่วน คือน้ำหนักเพิ่มขึ้น และเมื่อกินบ่อยๆก็จะก่อให้เกิดโรคอ้วน และอีกสารพัดโรคตามมา
3.) โรคหัวใจ เมื่อกินอาหารที่มีไขมันบ่อยๆ จะทำให้มีคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งอาจทำให้มีการสะสมลิ่มเลือดในหลอดเลือดแดง
4.) ความดันโลหิต ความเค็มปริมาณสูงจากอาหารดังกล่าว หากสะสมในร่างกายเยอะๆ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิต และโรคไตค่อนข้างสูง
5.) โรคตับ การสะสมไขมันในตับ อาจทำให้เกิดโรคตับแข็งได้
6.) โรคเบาหวาน ผู้ที่มีไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องมากเกินไป มักเกิดภาวะต้านอินซูลิน ทำให้มีการสะสมกลูโคสในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้เป็นโรคเบาหวานได้ และภาวะแทรกซ้อนประการหนึ่งคือการทำลายหลอดเลือดในจอตา อันจะทำให้ตาบอดได้
7.) ภาวะไขมันในเลือดสูง คนที่กินอาหารดังกล่าวเป็นประจำ จะมีระดับไขมันในเลือดมากกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีโอกาสเป็นเส้นเลือดในสมองอุดตัน
8.) หลอดเลือดพิการ เพราะอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยแป้งขาว ไขมัน และน้ำตาล เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ไขมันเกาะที่ผนังหลอดเลือด
9.) โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ คนที่กินอาหารดังกล่าวเป็นประจำมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากการสะสมไขมัน โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง อาหารจำพวก เฟรนฟราย เบอร์เกอร์ แซนวิส ฮอตด๊อก เป็นต้น
3.การเปรียบเทียบปราณแคลอรี่ระหว่างอาหารฟาสฟู๊ดกับอาหารตามสั่ง
อาหารตามสั่ง อาหารฟาสฟู๊ด
ข้าวผัดกระเพราไก่ไข่ดาว 1 จาน 630 กิโล พิซซ่า 1 ชิ้น. 340 กิโลแคลอรี่
ข้าวไข่เจียว 1 จาน 445 กิโลแคลอรี่ เฟรนช์ฟรายด์ 10 ชิ้น / 220 แคลอรี่
ข้าวผัดกุ้งใส่ไข่ 1 จาน 595 กิโลแคลอรี่ แฮมเบอร์เกอร์(ขนาดปกติ) 1 อัน / 245 แคลอรี่
จะเห็นได้ว่าอาหารฟาสฟู๊สนั้นแม้จะมีแคลอรี่ที่น้อยกว่าอาหารตามสั่งแต่ทว่านั้นมี คาร์โบไฮเดท และไขมันที่มากกว่า อาหารตามสั่งทั่วไป รวมถึง วิตามินและเกลือแร่ คุณค่าทางโภชนาการต่างๆก็มีน้อยกว่าอาหารตามสั่งมาก อาจเนื่องมาจาก อาหารฟาสฟู๊สใช้ วัตถุดิบประเภท คาร์โบไฮเดทมาก เช่น แป้งขนมปังและ เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่มักจะถูกทอด รวมถึงของเพิ่มปริมาณไขมัน เช่นชีสและอื่นๆ ต่างจากอาหารตามสั่งเช่น ผัดกระเพราเนื้อหมูที่มี อาหารครบ 5 หมู่ หรืออาหารชนิดอื่นๆแตกต่างกันไป
4.อาหารของคนในแต่ละวัยที่ควรได้รับ
ทารก
สารอาหารที่ทารกต้องการ
- พลังงาน ทารกต้องการพลังงานวันละ 100-120 แคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าผู้ใหญ่
- โปรตีน ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง ควรได้รับวันละ 2.5 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าวัยอื่นๆ
วิตามิน ได้แก่
- วิตามินเอ ช่วยในการทำงานของเยื่อบุของตา และเยื่อบุผิวหนัง ทารกควรได้รับวิตามินเอวันละ 1000 หน่วยสากล
- วิตามินดี จำเป็นในการสร้างกระดูกและฟัน ควรได้รับวันละ 400 หน่วยสากล
- วิตามินบี1 ควรได้รับวันละ 0.3 มิลลิกรัม
- วิตามินบี2 ควรได้รับวันละ 0.4 มิลลิกรัม
- ไนอะซิน ได้รับอย่างเพียงพออยู่แล้วในน้ำนม ซึงมีปริมาณ 4 มิลลิกรัม
- วิตามินซี ต้องการวันละ 20 กรัม
- โฟลาซิน ได้จากผักใบเขียวและตับสัตว์
เกลือแร่ ได้แก่
- แคลเซียม ต้องการวันละ 400-500 มิลลิกรัม
- เหล็ก ต้องการประมาณ 1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ถ้าเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนดก็ต้องการ2มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว
- ไอโอดีน เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างฮอร์โมนไทรอคซินในระยะ6เดือนแรก ทารกจะต้องการไอโอดีนวันละ 35ไมโครกรัม
น้ำ ควรได้รับวันละ 150 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
เมนูอาหาร เช่น กล้วยบด น้ำนมแม่
เด็กวัยก่อนเรียน
น้ำหนักของเด็กวัยก่อนเรียนสามารถคำนวณได้โดยน้ำหนัก(กิโลกรัม) = 8+[(2)(อายุ)]ส่วนมากเด็กในวัยนี้จะขาดโปรตีนและแคลอรี
สารอาหารที่ต้องการของเด็กวัยก่อนเรียน
- พลังงาน ควรได้รับวันละ 90-100 แคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ควรให้ขนมหวานที่เป็นประโยชน์เพื่อให้ได้รับน้ำตาลซึ่งเป็นพลังงาน
- โปรตีน ควรได้รับวันละ 1.3-1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โปรตีนที่ได้รับควรเป็น ไข่ น้ำนม ถั่วเมล์ดแห้ง และเนื้อสัตว์
- วิตามินเอ การขาดวิตามินเอเป็นเหตุทำให้เด็กทารกและเด็กวัยก่อนเรียนตาบอด ส่วนใหญ่มาจากการที่มารดาเลี้ยงทารกด้วยอาหารเสริมที่มีวิตามินเอและไขมันน้อย เด็กวัยนี้ควรไ