บทความ เรื่อง การพัฒนาการทางภาษาของเด็กในวัย 3-4 ปีเด็กปฐมวัยเรียนรู้ภ การแปล - บทความ เรื่อง การพัฒนาการทางภาษาของเด็กในวัย 3-4 ปีเด็กปฐมวัยเรียนรู้ภ ไทย วิธีการพูด

บทความ เรื่อง การพัฒนาการทางภาษาของ

บทความ
เรื่อง การพัฒนาการทางภาษาของเด็กในวัย 3-4 ปี
เด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษา จากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวทั้งสิ่งแวดล้อมที่บ้าน และโรงเรียน เด็กจะเรียนรู้การฟังและการพูดก่อน เพราะการฟังและการพูดเป็นของคู่กัน เป็นพื้นฐาน ทางภาษา กล่าวคือ เมื่อฟังแล้วก็ย่อมต้องพูดสนทนาโต้ตอบได้ การเรียนภาษาของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสอนอย่างเป็นทางการ หรือตามหลักไวยกรณ์ แต่จะเป็นการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว หรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ
ช่วงอายุ 3-4 ปี เด็กส่วนมากจะสามารถพูดเป็นประโยคยาวๆ และค่อยๆ เล่าเรื่องอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้ที่อายุประมาณ 4 ปี คำพูดเกือบทั้งหมดมีความหมายชัดเจนที่อายุประมาณ 4 ปี หารเด็กได้รับการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษามาอย่างต่อเนื่อง และไม่มีความล่าช้าทางพัฒนาการทางภาษาจากสาเหตุอื่นใด เด็กในช่วงวัยนี้จะมีความสามารถในการใช้ภาษาพูดสื่อสารได้เป็นอย่างดีใกล้ เคียงกับเด็กในวัยเรียนทั่วไป เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมต่อการพัฒนาทักษะในด้านการอ่าน เด็กควรรับการสอนให้คุ้นเคยกับคำพ้องเสียง โดยผ่านการฟังบทอาขยานสั้นๆ ง่ายๆ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีความคล้ายคลึงกันในส่วนที่ภาษาอ่านและเขียนโดยตั้ง อยู่บนหลักการของระบบเสียง (phonetics) คำแต่ลำคำจะประกอบด้วยเสียงย่อยต่างๆ ในสังคมที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจึงมักส่งเสริมให้เด็กในวัยนี้ได้มีโอกาส เรียนรู้ทักษะก่อนการอ่าน ด้วยการฝึกหัดใช้ภาษาที่เป็นคำคล้องจอง ทำนองเดียวกับบทอาขยานของไทย ตั้งนี้ไม่ได้มีความหมายว่าเด็กวัยนี้ต้องอ่านหนังสือเป็น ผู้ใหญ่ สามารถเล่าเรื่องหรืออ่านให้ฟังหรือร้องเล่นเป็นทำนองเพลงก็สามารถช่วยให้ เด็กเรียนรู้พื้นฐานของระบบเสียงที่เกี่ยวข้องกับการอ่านได้ง่ายขึ้น ทักษะพื้นฐานทางภาษาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญาจะรวมถึงความเข้าใจเรื่องของลำดับก่อนหลัง สิ่งที่เป็นนามธรรมมากขึ้น ได้แก่ สี ขนาด จำนวน แม้สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเรียนรู้ผ่านการท่องจำได้ แต่ถ้าขาดความเข้าใจพื้นฐานสำคัญ เด็กจะเรียนรู้ต่อเนื่องด้วยตนเองได้ยากลำบาก เช่น แม้เด็กจะท่องจำสีได้หลายสี แต่เมื่อเห็นสีอื่นซึ่งไม่เคยเห็นแต่มีลักษณะใกล้เคียงกับสีเดิม (เขียวอ่อนกับเขียวแก่) เด็กที่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก จะสามารถเชื่อมโยงและบอกได้ถูกต้องมากกว่า
เด็กในช่วงวัย 3-4 ปี ที่มีพัฒนาการทางภาษาปกติ มักมีข้อสงสัยและคำถามมากมาย เมื่อเด็กซักถามสิ่งที่ตนเองสงสัย ผู้เลี้ยงดูควรพยายามตอบคำถามอย่างง่ายๆ สั้นๆ และกระตุ้นให้เด็กใฝ่รู้และค้นคว้าเพิ่มเติม ในกรณีที่เด็กถามซ้ำๆ เรื่องเดิม อาจหมายถึงความไม่เข้าใจของเด็ก การอธิบายซ้ำโดยใช้คำพูดที่ง่ายขึ้นหรือหาสื่ออื่นช่วยอธิบายประกอบ จะช่วยให้เด็กสามารถเข้าใจมากขึ้น ในบางกรณีเด็กที่เข้าใจคำตอบแล้วแต่ยังถามคำถามเดิมซ้ำๆ อาจสะท้อนถึงความกังวลหรือต้องการความสนใจจากผู้ใหญ่ ซึ่งผู้ที่เลี้ยงดูใกล้ชิดอาจพอบอกได้โดยการสังเกตพฤติกรรมอื่นร่วมดัวย
ช่วงอายุ 4-5 ปี เด็กส่วนใหญ่ในวัยนี้มักเข้าสู่ระบบการศึกษาและเริ่มเรียนรู้ทักษะทางภาษา อื่นๆ นอกจากภาษาพูด ได้แก่ ภาษาอ่าน ภาษาเขียน การสอนให้เด็กพัฒนาทักษะดังกล่าวไม่ควรเน้นที่การอ่านแบบท่องจำหรือเขียนให้ ถูกต้องสวยงาม ควรใช้วิธีการสอนที่เชื่อมโยงจากความเข้าใจเป็นพื้นฐาน เด็กที่มีทักษะด้านความจำหรือพูดโต้ตอบได้อย่างดี อาจใช้วิธีจำสัญลักษณ์หรือตัวหนังสือที่เขียนเป็นคำๆ แต่ผู้สอนไม่ควรละเลยการเรียนรู้เรื่องพื้นฐานระบบเสียงที่เชื่อมโยงกับ สัญลักษณ์ ซึ่งหมายถึงการสะกดคำอย่างง่ายๆ ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายภาษาอังกฤษ ในโรงเรียนอนุบาลบางแห่งใช้การเล่นเกมส์เป็นวิธีสอนเด็ก เช่น ถ้าเด็กรู้จักเสียงพยัญชนะต้นง่ายๆ บางตัวแล้ว ก็ให้หัดกันแข่งขันสร้างคำจากเสียงพยัญชนะตัวนั้น เป็นต้น
ทักษะพื้นฐานที่สำคัญทางภาษาเพื่อการเรียนรู้อีกเรื่องหนึ่ง คือ จำนวนหรือตัวเลข แม้คณิตศาสตร์เป็นแขนงวิชาที่ต่างจากภาษาศาสตร์ แต่การเรียนรู้ในช่วงปฐมวัยจำเป็นต้องใช้ภาษาซึ่งเด็กพูดได้เป็นสื่อกลาง พ่อแม่หรือผู้สอนไทยควรมีความเข้าใจก่อนว่า พื้นฐานความเข้าใจในเรื่องของจำนวนหรือตัวเลขมีความสำคัญอย่างยิ่ง เด็กจำนวนมากอาจท่องจำ 1-10 หรือ 1-50 ได้ โดยชาดความเข้าใจเรียงลำดับ การเพิ่มจำนวน หรือแม้แต่เรื่องของจำนวนพื้นฐาน เด็กควรเรียนรู้หลักการของจำนวน 1-10 หรือ 20 ได้อย่างแม่นยำก่อนที่จะหัดบวกลบเลขจากโจทย์ ในชีวิตประจำวันเด็กควรถูกสอนให้เข้าใจจำนวนจากสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น ขนม 1 ชิ้น นก 2 ตัว การเพิ่มหรือการลดจำนวนสวนจากภาษาที่ใช้ เช่น "ได้เพิ่มมาอีก" "บินหายไป" เป็นต้น เมื่อเด็กมีความเข้าใจพื้นฐานสิ่งเหล่านี้ได้ถูกต้องแม่นยำแล้วการเชื่อมโยง ไปสู่ความหมายของสัญลักษณ์และการเรียนรู้คณิตศาสตร์ขั้นถัดไปจะเกิดได้อย่าง ต่อเนื่องถูกต้องตามขั้นตอน
นอกจากนี้ การที่เด็กในวัยดังกล่าวเริ่มเข้าสู่ระบบโรงเรียนมากขึ้น พ่อแม่ควรให้ความสนใจกับทักษะทางที่จะช่วยทำให้เด็กสื่อสารกับเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ได้อย่างเหมาะสมตามวัยด้วย หากสังเกตได้ว่าเด็กบางคนมี พัฒนาการในการใช้ภาษาเพื่อสื่อสารกับคนอื่นได้ไม่ดีนัก ความเอาใจใส่และช่วยส่งเสริมเพื่อฝึกทักษะด้านนี้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดปัญหาทางสังคมหรืออารมณ์ให้แก่เด็กได้ในช่วงวัยต่อๆ ไป
การส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาของเด็กวัย 3-4 ปี
- เด็กมักสงสัยและมีคำถามมากมาย ควรตอบคำถาม ด้วยคำตอบง่ายๆ สั้นๆ และใช้ภาษาที่ถูกต้อง
- อ่านหนังสือให้เด็กฟัง และใช้หนังสือภาพ (Picture books) มาประกอบการเล่าเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น และกระตุ้นให้เด็กใฝ่รู้มากขึ้น
- บทอาขยานสั้นๆ ง่ายๆ หรือคำคล้องจอง จะช่วยให้เด็กเรียนรู้พื้นฐานของระบบเสียงที่เกี่ยวข้องกับการอ่านได้ง่ายขึ้น
- สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เรื่องลำดับก่อนหลัง สิ่งที่เป็นนามธรรม ได้แก่ สี ขนาด จำนวน เป็นต้น
- สอนให้เด็กรู้จักคำศัพท์หรือคำพูดที่บอกอารมณ์ความรู้สึกทั้งของตนเองและผู้อื่น เช่น ถ้าเด็กรู้สึกโกรธ เมื่อถูกแย่งของเล่น ควรสอนให้เด็กเข้าใจว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นคือ อารมณ์โกรธ โดยพูดว่า “หนูรู้สึกโกรธที่ถูกแย่งของเล่น”
- เมื่อเด็กพูดคำหยาบ ไม่ควรดุหรือลงโทษ เพราะเด็กยังไม่เข้าใจความหมายของคำหยาบ ควรสอนให้ใช้คำอื่นแทน


กา
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
บทความ เรื่องการพัฒนาการทางภาษาของเด็กในวัย 3-4 ปีเด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษาจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวทั้งสิ่งแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียนเด็กจะเรียนรู้การฟังและการพูดก่อนเพราะการฟังและการพูดเป็นของคู่กันเป็นพื้นฐานทางภาษากล่าวคือเมื่อฟังแล้วก็ย่อมต้องพูดสนทนาโต้ตอบได้การเรียนภาษาของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสอนอย่างเป็นทางการหรือตามหลักไวยกรณ์แต่จะเป็นการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวหรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ ช่วงอายุ 3-4 ปี เด็กส่วนมากจะสามารถพูดเป็นประโยคยาวๆ และค่อยๆ เล่าเรื่องอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้ที่อายุประมาณ 4 ปี คำพูดเกือบทั้งหมดมีความหมายชัดเจนที่อายุประมาณ 4 ปี หารเด็กได้รับการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษามาอย่างต่อเนื่อง และไม่มีความล่าช้าทางพัฒนาการทางภาษาจากสาเหตุอื่นใด เด็กในช่วงวัยนี้จะมีความสามารถในการใช้ภาษาพูดสื่อสารได้เป็นอย่างดีใกล้ เคียงกับเด็กในวัยเรียนทั่วไป เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมต่อการพัฒนาทักษะในด้านการอ่าน เด็กควรรับการสอนให้คุ้นเคยกับคำพ้องเสียง โดยผ่านการฟังบทอาขยานสั้นๆ ง่ายๆ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีความคล้ายคลึงกันในส่วนที่ภาษาอ่านและเขียนโดยตั้ง อยู่บนหลักการของระบบเสียง (phonetics) คำแต่ลำคำจะประกอบด้วยเสียงย่อยต่างๆ ในสังคมที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจึงมักส่งเสริมให้เด็กในวัยนี้ได้มีโอกาส เรียนรู้ทักษะก่อนการอ่าน ด้วยการฝึกหัดใช้ภาษาที่เป็นคำคล้องจอง ทำนองเดียวกับบทอาขยานของไทย ตั้งนี้ไม่ได้มีความหมายว่าเด็กวัยนี้ต้องอ่านหนังสือเป็น ผู้ใหญ่ สามารถเล่าเรื่องหรืออ่านให้ฟังหรือร้องเล่นเป็นทำนองเพลงก็สามารถช่วยให้ เด็กเรียนรู้พื้นฐานของระบบเสียงที่เกี่ยวข้องกับการอ่านได้ง่ายขึ้น ทักษะพื้นฐานทางภาษาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญาจะรวมถึงความเข้าใจเรื่องของลำดับก่อนหลัง สิ่งที่เป็นนามธรรมมากขึ้น ได้แก่ สี ขนาด จำนวน แม้สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเรียนรู้ผ่านการท่องจำได้ แต่ถ้าขาดความเข้าใจพื้นฐานสำคัญ เด็กจะเรียนรู้ต่อเนื่องด้วยตนเองได้ยากลำบาก เช่น แม้เด็กจะท่องจำสีได้หลายสี แต่เมื่อเห็นสีอื่นซึ่งไม่เคยเห็นแต่มีลักษณะใกล้เคียงกับสีเดิม (เขียวอ่อนกับเขียวแก่) เด็กที่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก จะสามารถเชื่อมโยงและบอกได้ถูกต้องมากกว่า เด็กในช่วงวัย 3-4 ปีที่มีพัฒนาการทางภาษาปกติมักมีข้อสงสัยและคำถามมากมายเมื่อเด็กซักถามสิ่งที่ตนเองสงสัยผู้เลี้ยงดูควรพยายามตอบคำถามอย่างง่าย ๆ สั้น ๆ และกระตุ้นให้เด็กใฝ่รู้และค้นคว้าเพิ่มเติมในกรณีที่เด็กถามซ้ำ ๆ เรื่องเดิมอาจหมายถึงความไม่เข้าใจของเด็กการอธิบายซ้ำโดยใช้คำพูดที่ง่ายขึ้นหรือหาสื่ออื่นช่วยอธิบายประกอบจะช่วยให้เด็กสามารถเข้าใจมากขึ้นในบางกรณีเด็กที่เข้าใจคำตอบแล้วแต่ยังถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ อาจสะท้อนถึงความกังวลหรือต้องการความสนใจจากผู้ใหญ่ซึ่งผู้ที่เลี้ยงดูใกล้ชิดอาจพอบอกได้โดยการสังเกตพฤติกรรมอื่นร่วมดัวย ช่วงอายุ 4-5 ปี เด็กส่วนใหญ่ในวัยนี้มักเข้าสู่ระบบการศึกษาและเริ่มเรียนรู้ทักษะทางภาษา อื่นๆ นอกจากภาษาพูด ได้แก่ ภาษาอ่าน ภาษาเขียน การสอนให้เด็กพัฒนาทักษะดังกล่าวไม่ควรเน้นที่การอ่านแบบท่องจำหรือเขียนให้ ถูกต้องสวยงาม ควรใช้วิธีการสอนที่เชื่อมโยงจากความเข้าใจเป็นพื้นฐาน เด็กที่มีทักษะด้านความจำหรือพูดโต้ตอบได้อย่างดี อาจใช้วิธีจำสัญลักษณ์หรือตัวหนังสือที่เขียนเป็นคำๆ แต่ผู้สอนไม่ควรละเลยการเรียนรู้เรื่องพื้นฐานระบบเสียงที่เชื่อมโยงกับ สัญลักษณ์ ซึ่งหมายถึงการสะกดคำอย่างง่ายๆ ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายภาษาอังกฤษ ในโรงเรียนอนุบาลบางแห่งใช้การเล่นเกมส์เป็นวิธีสอนเด็ก เช่น ถ้าเด็กรู้จักเสียงพยัญชนะต้นง่ายๆ บางตัวแล้ว ก็ให้หัดกันแข่งขันสร้างคำจากเสียงพยัญชนะตัวนั้น เป็นต้น ทักษะพื้นฐานที่สำคัญทางภาษาเพื่อการเรียนรู้อีกเรื่องหนึ่ง คือ จำนวนหรือตัวเลข แม้คณิตศาสตร์เป็นแขนงวิชาที่ต่างจากภาษาศาสตร์ แต่การเรียนรู้ในช่วงปฐมวัยจำเป็นต้องใช้ภาษาซึ่งเด็กพูดได้เป็นสื่อกลาง พ่อแม่หรือผู้สอนไทยควรมีความเข้าใจก่อนว่า พื้นฐานความเข้าใจในเรื่องของจำนวนหรือตัวเลขมีความสำคัญอย่างยิ่ง เด็กจำนวนมากอาจท่องจำ 1-10 หรือ 1-50 ได้ โดยชาดความเข้าใจเรียงลำดับ การเพิ่มจำนวน หรือแม้แต่เรื่องของจำนวนพื้นฐาน เด็กควรเรียนรู้หลักการของจำนวน 1-10 หรือ 20 ได้อย่างแม่นยำก่อนที่จะหัดบวกลบเลขจากโจทย์ ในชีวิตประจำวันเด็กควรถูกสอนให้เข้าใจจำนวนจากสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น ขนม 1 ชิ้น นก 2 ตัว การเพิ่มหรือการลดจำนวนสวนจากภาษาที่ใช้ เช่น "ได้เพิ่มมาอีก" "บินหายไป" เป็นต้น เมื่อเด็กมีความเข้าใจพื้นฐานสิ่งเหล่านี้ได้ถูกต้องแม่นยำแล้วการเชื่อมโยง ไปสู่ความหมายของสัญลักษณ์และการเรียนรู้คณิตศาสตร์ขั้นถัดไปจะเกิดได้อย่าง ต่อเนื่องถูกต้องตามขั้นตอน นอกจากนี้ การที่เด็กในวัยดังกล่าวเริ่มเข้าสู่ระบบโรงเรียนมากขึ้น พ่อแม่ควรให้ความสนใจกับทักษะทางที่จะช่วยทำให้เด็กสื่อสารกับเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ได้อย่างเหมาะสมตามวัยด้วย หากสังเกตได้ว่าเด็กบางคนมี พัฒนาการในการใช้ภาษาเพื่อสื่อสารกับคนอื่นได้ไม่ดีนัก ความเอาใจใส่และช่วยส่งเสริมเพื่อฝึกทักษะด้านนี้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดปัญหาทางสังคมหรืออารมณ์ให้แก่เด็กได้ในช่วงวัยต่อๆ ไปการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาของเด็กวัย 3-4 ปี- เด็กมักสงสัยและมีคำถามมากมาย ควรตอบคำถาม ด้วยคำตอบง่ายๆ สั้นๆ และใช้ภาษาที่ถูกต้อง- อ่านหนังสือให้เด็กฟัง และใช้หนังสือภาพ (Picture books) มาประกอบการเล่าเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น และกระตุ้นให้เด็กใฝ่รู้มากขึ้น- บทอาขยานสั้นๆ ง่ายๆ หรือคำคล้องจอง จะช่วยให้เด็กเรียนรู้พื้นฐานของระบบเสียงที่เกี่ยวข้องกับการอ่านได้ง่ายขึ้น- สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เรื่องลำดับก่อนหลัง สิ่งที่เป็นนามธรรม ได้แก่ สี ขนาด จำนวน เป็นต้น- สอนให้เด็กรู้จักคำศัพท์หรือคำพูดที่บอกอารมณ์ความรู้สึกทั้งของตนเองและผู้อื่น เช่น ถ้าเด็กรู้สึกโกรธ เมื่อถูกแย่งของเล่น ควรสอนให้เด็กเข้าใจว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นคือ อารมณ์โกรธ โดยพูดว่า “หนูรู้สึกโกรธที่ถูกแย่งของเล่น”- เมื่อเด็กพูดคำหยาบ ไม่ควรดุหรือลงโทษ เพราะเด็กยังไม่เข้าใจความหมายของคำหยาบ ควรสอนให้ใช้คำอื่นแทนกา
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
บทความ
เรื่องการพัฒนาการทางภาษาของเด็กในวัย 3-4 ปี
เด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษา และโรงเรียนเด็กจะเรียนรู้การฟังและการพูดก่อนเพราะการฟังและการพูดเป็นของคู่กันเป็นพื้นฐานทางภาษากล่าวคือ หรือตามหลักไวยกรณ์ หรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ
ช่วงอายุ 3-4 ปี และค่อยๆ 4 ปี 4 ปี เคียงกับเด็กในวัยเรียนทั่วไป โดยผ่านการฟังบทอาขยานสั้น ๆ ง่ายๆ อยู่บนหลักการของระบบเสียง (ออกเสียง) เรียนรู้ทักษะก่อนการอ่าน ทำนองเดียวกับบทอาขยานของไทย ผู้ใหญ่ ทักษะพื้นฐานทางภาษาอื่น ๆ สิ่งที่เป็นนามธรรมมากขึ้น ได้แก่ สีขนาดจำนวนแม้สิ่งต่างๆ แต่ถ้าขาดความเข้าใจพื้นฐานสำคัญ เช่นแม้เด็กจะท่องจำสีได้หลายสี (เขียวอ่อนกับเขียวแก่)
3-4 ปีที่มีพัฒนาการทางภาษาปกติมักมีข้อสงสัยและคำถามมากมายเมื่อเด็กซักถามสิ่งที่ตนเองสงสัย สั้น ๆ ในกรณีที่เด็กถามซ้ำ ๆ เรื่องเดิมอาจหมายถึงความไม่เข้าใจของเด็ก จะช่วยให้เด็กสามารถเข้าใจมากขึ้น
4-5 ปี อื่น ๆ นอกจากภาษาพูด ได้แก่ ภาษาอ่านภาษาเขียน ถูกต้องสวยงาม สัญลักษณ์ซึ่งหมายถึงการสะกดคำอย่างง่ายๆซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายภาษาอังกฤษ เช่นถ้าเด็กรู้จักเสียงพยัญชนะต้นง่ายๆบางตัวแล้ว
คือจำนวนหรือตัวเลข เด็กจำนวนมากอาจท่องจำ 1-10 หรือ 1-50 ได้โดยชาดความเข้าใจเรียงลำดับการเพิ่มจำนวนหรือแม้แต่เรื่องของจำนวนพื้นฐานเด็กควรเรียนรู้หลักการของจำนวน 1-10 หรือ 20 รอบตัวเช่นขนม 1 ชิ้นนก 2 ตัว เช่น "ได้เพิ่มมาอีก" "บินหายไป" เป็นต้น
หรือคนอื่น ๆ ได้อย่างเหมาะสมตามวัยด้วยหากสังเกตได้ว่าเด็กบางคนมี
3-4 ปี
- เด็กมักสงสัยและมีคำถามมากมายควรตอบคำถามด้วยคำตอบง่ายๆสั้น ๆ และใช้ภาษาที่ถูกต้อง
- อ่านหนังสือให้เด็กฟังและใช้หนังสือภาพ (หนังสือ Picture) และกระตุ้นให้เด็กใฝ่รู้มากขึ้น
- บทอาขยานสั้น ๆ ง่ายๆหรือคำคล้องจอง
สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องลำดับก่อนหลังสิ่งที่เป็นนามธรรม ได้แก่ สีขนาดจำนวนเป็นต้น
- เช่นถ้าเด็กรู้สึกโกรธเมื่อถูกแย่งของเล่นควรสอนให้เด็กเข้าใจว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นคืออารมณ์โกรธโดยพูดว่า "หนูรู้สึกโกรธที่ถูกแย่งของเล่น"
- เมื่อเด็กพูดคำหยาบไม่ควรดุหรือลงโทษ ควรสอนให้ใช้คำอื่นแทนกา


การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
บทความ

เรื่องการพัฒนาการทางภาษาของเด็กในวัย 3-4 .เด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษาจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวทั้งสิ่งแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียนเด็กจะเรียนรู้การฟังและการพูดก่อนเพราะการฟังและการพูดเป็นของคู่กันเป็นพื้นฐานทางภาษากล่าวคือการเรียนภาษาของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสอนอย่างเป็นทางการหรือตามหลักไวยกรณ์แต่จะเป็นการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวหรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ
ช่วงอายุ 3-4 . เด็กส่วนมากจะสามารถพูดเป็นประโยคยาวๆและค่อยๆเล่าเรื่องอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้ที่อายุประมาณ 4 . คำพูดเกือบทั้งหมดมีความหมายชัดเจนที่อายุประมาณ 4 .และไม่มีความล่าช้าทางพัฒนาการทางภาษาจากสาเหตุอื่นใดเด็กในช่วงวัยนี้จะมีความสามารถในการใช้ภาษาพูดสื่อสารได้เป็นอย่างดีใกล้เคียงกับเด็กในวัยเรียนทั่วไปเด็กควรรับการสอนให้คุ้นเคยกับคำพ้องเสียงโดยผ่านการฟังบทอาขยานสั้นๆง่ายๆภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีความคล้ายคลึงกันในส่วนที่ภาษาอ่านและเขียนโดยตั้งอยู่บนหลักการของระบบเสียง ( สัทศาสตร์ )ในสังคมที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจึงมักส่งเสริมให้เด็กในวัยนี้ได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะก่อนการอ่านด้วยการฝึกหัดใช้ภาษาที่เป็นคำคล้องจองทำนองเดียวกับบทอาขยานของไทยผู้ใหญ่สามารถเล่าเรื่องหรืออ่านให้ฟังหรือร้องเล่นเป็นทำนองเพลงก็สามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้พื้นฐานของระบบเสียงที่เกี่ยวข้องกับการอ่านได้ง่ายขึ้นทักษะพื้นฐานทางภาษาอื่นๆสิ่งที่เป็นนามธรรมมากขึ้นได้แก่สี Friday ' จำนวนแม้สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเรียนรู้ผ่านการท่องจำได้แต่ถ้าขาดความเข้าใจพื้นฐานสำคัญเด็กจะเรียนรู้ต่อเนื่องด้วยตนเองได้ยากลำบากเช่นแม้เด็กจะท่องจำสีได้หลายสี( เขียวอ่อนกับเขียวแก่ ) เด็กที่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกจะสามารถเชื่อมโยงและบอกได้ถูกต้องมากกว่า
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: