Weber's original scenario was modif

Weber's original scenario was modified slightly for this study. First, the name of the employee was changed to a gender neutral name and the scenario was revised to ensure that the manager's request to fabricate data was clear to participants. Students were asked to put themselves in the position of the employee and indicate their intention to obey or disobey the manager's request. Students were then asked a single question regarding their intent to obey the manager's request, as well as a series of questions regarding whether they would directly challenge their manager using constructive resistance strategies (see scale information below).
Results from the pilot study indicated the scenario
was believable. More than 94% of the respondents indi­ cated they believed a situation such as this happens in the workplace. In addition, data from the pilot study

showed variance in both the single obedience item as well as the measures of constructive resistance (see means, standard deviations, alpha reliabilities, and intercorrelations in Table 27.1). The results of the pilot study also provided evidence that students' coproduc­ tion of leadership beliefs, as measured at Time 1, predicted their intention to obey or resist the unethical requests of a leader at Time 2 (see Table 27.2). Specifically, students with stronger coproduction beliefs were less likely to obey, (M2 = .06, F = 3.17, p

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

สถานการณ์เดิมของ Weber ถูกปรับเปลี่ยนเล็กน้อยสำหรับการศึกษานี้ ครั้งแรก ชื่อของพนักงานที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นกลาง และสถานการณ์แก้ไขปรับปรุงเพื่อให้แน่ใจว่า คำขอของผู้จัดการเพื่อสานข้อมูลเป็นที่ชัดเจนกับผู้เข้าร่วม นักเรียนถูกถามจะนำตัวเองในตำแหน่งของพนักงาน และระบุว่า การปฏิบัติตาม หรือฝ่าฝืนคำขอของผู้จัดการ นักเรียนถูกแล้วถามคำถามเดียวเกี่ยวกับเจตนาของพวกเขาปฏิบัติตามคำขอของผู้จัดการ เป็นชุดของคำถามเกี่ยวกับว่าพวกเขาจะท้าทายผู้จัดการโดยใช้กลยุทธ์การสร้างสรรค์ความต้านทานโดยตรง (ดูมาตราส่วนข้อมูลด้านล่าง)ผลจากการศึกษานำร่องแสดงสถานการณ์สมมติเชื่อได้ มากกว่า 94% ของการผลิตหม่าผู้ตอบพวกเขาเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในทำงาน นอกจากนี้ ข้อมูลจากการศึกษานำร่อง ผลต่างที่แสดงให้เห็นในทั้งสองรายการเดียวเชื่อฟังเป็นมาตรการของความต้านทานที่สร้างสรรค์ (หมายถึงดู ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน alpha reliabilities และ intercorrelations ในตาราง 27.1) ผลการศึกษานำร่องที่ยัง ให้บริการหลักฐานที่นัก coproduc ทางการค้าของผู้นำความเชื่อ พวกเขาตั้งใจที่จะปฏิบัติตาม หรือต่อต้านร้องจริยธรรมของผู้นำในเวลา 2 (ดูตาราง 27.2) ที่คาดการณ์ไว้วัดได้ที่เวลา 1 เฉพาะ นักเรียนที่ มีความเชื่อ coproduction แข็งแกร่งมีโอกาสน้อยที่จะเชื่อฟัง, (M2 =.06, F = 3.17, p < .05) และมีแนวโน้มมากขึ้นฝืนทุกกระบวนการร้องผิดจรรยาบรรณของผู้นำ (M2 =.07, F = 3.87, p < .05). มีพบว่า สถานการณ์เชื่อ และผลต่างพอวัดผล ผลิตแบบจำลองทฤษฎีเต็มที่ทดสอบกับตัวอย่างของผู้ใหญ่ที่ทำงานตลอดทั้งสหรัฐ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

สถานการณ์เดิมของเวเบอร์มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยสำหรับการศึกษาครั้งนี้ ครั้งแรกที่ชื่อของพนักงานที่ถูกเปลี่ยนไปเป็นชื่อเพศที่เป็นกลางและสถานการณ์ได้รับการแก้ไขเพื่อให้แน่ใจว่าการร้องขอของผู้จัดการเพื่อสานข้อมูลเป็นที่ชัดเจนกับผู้เข้าร่วม นักศึกษาได้ขอที่จะนำตัวเองในตำแหน่งของพนักงานและระบุความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตามคำขอของผู้จัดการ นักเรียนที่ได้รับแล้วถามคำถามเดียวเกี่ยวกับความตั้งใจของพวกเขาที่จะทำตามคำขอของผู้จัดการเช่นเดียวกับชุดของคำถามเกี่ยวกับว่าพวกเขาโดยตรงจะท้าทายผู้จัดการของตนโดยใช้กลยุทธ์การต้านทานสร้างสรรค์ (ดูข้อมูลขนาดด้านล่าง) ก.
ผลจากการศึกษานำร่องที่ระบุสถานการณ์
ก็เชื่อ กว่า 94% ของผู้ตอบแบบสอบถาม indi cated พวกเขาเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน นอกจากนี้ข้อมูลจากการศึกษานำร่องแสดงให้เห็นความแปรปรวนทั้งในรายการที่เชื่อฟังคำสั่งเดียวเช่นเดียวกับมาตรการของความต้านทานสร้างสรรค์ (ดูวิธีการเบี่ยงเบนมาตรฐานความเชื่อมั่นอัลฟาและ intercorrelations ในตารางที่ 27.1) ผลการศึกษานำร่องนอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่แสดงว่านักเรียนการ coproduc ของความเชื่อความเป็นผู้นำที่วัดเวลา 1 ทำนายความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามหรือต่อต้านการร้องขอผิดจรรยาบรรณของการเป็นผู้นำในเวลา 2 (ดูตารางที่ 27.2) โดยเฉพาะนักเรียนที่มีความเชื่อ coproduction แข็งแกร่งมีโอกาสน้อยที่จะเชื่อฟัง (M2 = 0.06, F = 3.17, p <0.05) และมีแนวโน้มที่จะสร้างสรรค์ต่อต้านการร้องขอผิดจรรยาบรรณของการเป็นผู้นำ (M2 = 0.07, F = 3.87, p <0.05) หลังจากพบว่าสถานการณ์เป็นที่น่าเชื่อถือและผลิตแปรปรวนเพียงพอในการวัดผลที่เต็มรูปแบบทางทฤษฎีได้รับการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างของผู้ใหญ่ที่ทำงานทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา