to one of the entries in the table.

to one of the entries in the table. The curve that connects these points is a demand curve. A demand curve is a graphical representation of the demand schedule, another way of showing the relationship between the quantity demanded and price. Note that the demand curve shown in Figure 3-1 slopes downward. This reflects the general proposition that a higher price reduces the quantity demanded. For example, jeans-makers know that they will sell fewer pairs when the price of a pair of jeans is higher, reflecting a $2 price for a pound of cotton, compared to the number they will sell when the price of a pair is lower, reflecting a price of only $1 for a pound of cotton. Similarly, someone who buys a pair of cotton jeans when its price is relatively low will switch to synthetic or linen when the price of cotton jeans is relatively high. So in the real world, demand curves almost always do slope downward. (The exceptions are so rare that for practical purposes we can ignore them.) Generally, the proposition that a higher price for a good, other things equal, leads people to demand a smaller quantity of that good is so reliable that economists are willing to call it a “law”—the law of demand.
Shifts of the Demand Curve Although cotton prices in 2010 were higher than they had been in 2007, total world consumption of cotton was higher in 2010. How can we reconcile this fact with the law of demand, which says that a higher price reduces the quantity demanded, other things equal? The answer lies in the crucial phrase other things equal. In this case, other things weren’t equal: the world had changed between 2007 and 2010, in ways that increased the quantity of cotton demanded at any given price. For one thing, the world’s population, and therefore the number of potential cotton clothing wearers, increased. In addition, the growing popularity of cotton clothing, as well as higher incomes in countries like China that allowed people to buy more clothing than before, led to an increase in the quantity of cotton demanded at any given price. Figure 3-2 illustrates this phenomenon using the
For

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

หนึ่งรายการในตาราง เส้นโค้งที่เชื่อมต่อจุดเหล่านี้คือ เส้นอุปสงค์ เส้นอุปสงค์เป็นภาพของความต้องการ กำหนดการอีกวิธีหนึ่งของการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณที่ต้องการและราคา สังเกตว่า เส้นอุปสงค์ที่แสดงในรูปที่ 3-1 ลาดลง นี้สะท้อนให้เห็นถึงข้อเสนอทั่วไปที่ว่า ราคาสูงขึ้นลดปริมาณที่ต้องการ ตัวอย่าง ผู้ผลิตกางเกงยีนส์รู้ว่า พวกเขาจะขายคู่น้อยลงเมื่อราคาของคู่ของกางเกงยีนส์สูง สะท้อนราคา $2 สำหรับปอนด์ของฝ้าย เมื่อเทียบกับจำนวนพวกเขาจะขายเมื่อราคาของคู่ล่าง สะท้อนราคาเพียง $1 สำหรับปอนด์ของฝ้าย ในทำนองเดียวกัน คนซื้อคู่ของกางเกงยีนส์ฝ้ายเมื่อราคามันค่อนข้างต่ำจะไปสังเคราะห์ หรือผ้าลินินเมื่อราคาของกางเกงยีนส์ฝ้ายค่อนข้างสูง ดังนั้นในโลกจริง ความต้องการมักโค้ง ลาดลง (ยกเว้นจะหายากมากว่า เพื่อวัตถุประสงค์ในทางปฏิบัติ เราสามารถละเว้น) ทั่วไป ข้อเสนอที่ดี สิ่งอื่น ๆ เท่า ราคาสูงลูกค้าเป้าหมายคนความต้องการปริมาณน้อยของดีที่มีดังนั้นเชื่อถือได้ว่า นักเศรษฐศาสตร์จะเต็มใจที่จะเรียกว่า "กฎหมาย" โดยกฎหมายของความต้องการกะของราคาฝ้ายความโค้งแม้ว่าในปี 2553 สูงกว่าได้ในปี 2007 โลกรวมปริมาณการใช้ฝ้ายสูงในปี 2553 เราสามารถกระทบยอดความจริงของความต้องการ ซึ่งกล่าวว่า การที่ ราคาสูงกว่าลดราคาเท่ากับสิ่งที่ต้อง อื่น ๆ ปริมาณ อย่างไร อยู่คำตอบในการสำคัญ phrase สิ่งอื่น ๆ เท่ากัน ในกรณีนี้ สิ่งอื่น ๆ ไม่เท่า: โลกมีการเปลี่ยนแปลงระหว่าง 2007 และ 2010 ที่เพิ่มปริมาณของฝ้ายแค่ที่ราคาใด ๆ กำหนด สำหรับสิ่งหนึ่ง ประชากรโลก และหมายเลขเป็นผ้าฝ้ายเสื้อผ้า wearers เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ที่ความนิยมของเสื้อผ้าฝ้าย ตลอดจนรายได้ที่สูงขึ้นในประเทศเช่นจีนที่อนุญาตให้คนซื้อเสื้อผ้ามากขึ้นกว่าก่อน นำไปสู่การเพิ่มปริมาณของฝ้าย แค่ที่ราคาใด ๆ กำหนด รูปที่ 3-2 แสดงการใช้ปรากฏการณ์นี้ใน สำหรับ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

หนึ่งของรายการในตาราง เส้นโค้งที่เชื่อมจุดเหล่านี้มีความต้องการเส้นโค้ง ความต้องการเส้นโค้งคือการเป็นตัวแทนของตารางอุปสงค์ อีกวิธีที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณความต้องการสินค้าและราคา โปรดสังเกตว่าเส้นอุปสงค์ที่แสดงในรูปที่ 3-1 ลาดลง นี้สะท้อนให้เห็นทั่วไป ข้อเสนอที่ราคาที่สูงขึ้น ลดปริมาณที่ต้องการตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตกางเกงยีนส์ ทราบว่า พวกเขาจะขายเมื่อราคาน้อยกว่าคู่ของกางเกงยีนส์ สูงถึง $ 2 ราคาสำหรับปอนด์ของฝ้าย เมื่อเทียบกับจำนวนที่พวกเขาจะขายเมื่อราคาของคู่ต่ำ , สะท้อนให้เห็นถึงราคาเพียง $ 1 สำหรับปอนด์ของฝ้าย ในทํานองเดียวกันคนที่ซื้อกางเกงยีนส์ผ้าฝ้ายเมื่อราคาของมันค่อนข้างน้อยจะเปลี่ยนเป็นสังเคราะห์ หรือผ้ายีนส์ ฝ้ายว่าราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นในโลกจริง เส้นโค้งความต้องการมักจะทำทางลาดลง ( ยกเว้นจะหายาก ในทางปฏิบัติ เราสามารถละเว้น ) โดยทั่วไปแล้ว ข้อเสนอที่ราคาสูงมาก อย่างเท่าเทียมกันอื่น ๆนำพาผู้คนไปสู่ความต้องการปริมาณขนาดเล็กของที่ดี ดังนั้นเชื่อว่านักเศรษฐศาสตร์ยินดีที่จะเรียกมันว่า " กฎหมาย " - กฎของอุปสงค์ .
กะของเส้นอุปสงค์แม้ว่าราคาฝ้ายใน 2010 มีมากขึ้นกว่าที่พวกเขาได้ในปี 2007 การบริโภคของโลกทั้งหมดของฝ้ายสูงกว่าในปี 2010 วิธีที่เราสามารถยอมรับความเป็นจริงกับกฎของอุปสงค์ที่บอกว่าราคาสูงช่วยลดปริมาณความต้องการสินค้า สิ่งที่เท่าเทียมกันอื่น ๆ ? คำตอบอยู่ในวลีอื่น ๆที่สำคัญอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีนี้ เรื่องอื่นไม่เท่าเทียมกัน : โลกที่เปลี่ยนไประหว่าง 2550 และ 2553 ในวิธีการที่เพิ่มขึ้นปริมาณของฝ้ายเรียกร้องใด ๆ ราคา สำหรับสิ่งหนึ่งที่ ประชากรของโลกดังนั้นจำนวนของศักยภาพเสื้อผ้าฝ้ายสวมใส่ เพิ่ม . นอกจากนี้ ความนิยมเติบโตของเสื้อผ้าฝ้าย รวมทั้งสูงกว่ารายได้ในประเทศเช่นจีนที่อนุญาตให้คนที่จะซื้อเสื้อผ้ามากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เพิ่มปริมาณของฝ้ายเรียกร้องใด ๆ ราคา รูปที่ 3-2 แสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์นี้ใช้
สำหรับ