Equity theory focuses on determinin

Equity theory focuses on determining whether the distribution of resources is fair to both relational partners. Equity is measured by comparing the ratio of contributions (or costs) and benefits (or rewards) for each person.[1] Considered one of the justice theories, equity theory was first developed in 1969 by J. Stacy Adams, a workplace and behavioral psychologist, who asserted that employees seek to maintain equity between the inputs that they bring to a job and the outcomes that they receive from it against the perceived inputs and outcomes of others (Adams, 1969). The belief is that people value fair treatment which causes them to be motivated to keep the fairness maintained within the relationships of their co-workers and the organization. The structure of equity in the workplace is based on the ratio of inputs to outcomes. Inputs are the contributions made by the employee for the organization.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ส่วนทฤษฎีมุ่งเน้นไปที่การพิจารณาว่าการกระจายของทรัพยากรธรรมคู่สัมพันธ์ ส่วนของวัด โดยการเปรียบเทียบอัตราส่วนของเงินสมทบ (หรือต้นทุน) และผลประโยชน์ หรือรางวัล) สำหรับแต่ละบุคคล [1] ถือเป็นทฤษฎีความยุติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนทฤษฎีถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี 1969 โดย J. Adams สเตซี่ ที่ทำงาน และ จิตวิทยาพฤติกรรม ใครยืนยันว่า พนักงานพยายามรักษาส่วนระหว่างปัจจัยการผลิตที่จะนำมาสู่งาน และผลที่ได้รับจากมันกับอินพุตที่รับรู้ และผลที่ได้ของผู้อื่น (Adams, 1969) ความเชื่อว่าคนค่าธรรมซึ่งทำให้พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ความยุติธรรมในความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงานและองค์กร โครงสร้างของเงินทุนในการทำงานเป็นไปตามอัตราส่วนของปัจจัยการผลิตต่อ ปัจจัยการผลิตเป็นผลงานที่ทำ โดยพนักงานสำหรับองค์กร

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ทฤษฎีทุนมุ่งเน้นไปที่การพิจารณาว่าการกระจายของทรัพยากรที่เป็นธรรมทั้งคู่สัมพันธ์ ผู้ถือหุ้นเป็นวัดโดยการเปรียบเทียบอัตราส่วนของผลงาน (หรือค่าใช้จ่าย) และผลประโยชน์ (หรือรางวัล) สำหรับแต่ละบุคคล. [1] ถือเป็นหนึ่งในทฤษฎีความยุติธรรมทฤษฎีทุนเป็นครั้งแรกในปี 1969 โดยเจสเตซี่อดัมส์ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานและพฤติกรรม นักจิตวิทยาผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าพนักงานต้องการที่จะรักษาส่วนของปัจจัยการผลิตระหว่างที่พวกเขานำไปสมัครงานและผลที่พวกเขาได้รับจากมันกับปัจจัยการผลิตการรับรู้และผลของคนอื่น (อดัมส์, 1969) ความเชื่อคือคนที่เห็นคุณค่าของความเป็นธรรมซึ่งทำให้พวกเขามีแรงจูงใจที่จะให้ความเป็นธรรมไว้ภายในความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงานและองค์กรของพวกเขา โครงสร้างของผู้ถือหุ้นในการทำงานจะขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของปัจจัยการผลิตเพื่อผล ปัจจัยการผลิตที่มีผลงานที่ทำโดยพนักงานสำหรับองค์กร