Static RAM uses a completely differ

Static RAM uses a completely different technology. In static RAM, a form of flip-flop holds each bit of memory (see How Boolean Logic Works for details on flip-flops). A flip-flop for a memory cell takes four or six transistors along with some wiring, but never has to be refreshed. This makes static RAM significantly faster than dynamic RAM. However, because it has more parts, a static memory cell takes up a lot more space on a chip than a dynamic memory cell. Therefore, you get less memory per chip, and that makes static RAM a lot more expensive.
Static RAM is fast and expensive, and dynamic RAM is less expensive and slower. So static RAM is used to create the CPU's speed-sensitive cache, while dynamic RAM forms the larger system RAM space.
Memory chips in desktop computers originally used a pin configuration called dual inline package (DIP). This pin configuration could be soldered into holes on the computer's motherboard or plugged into a socket that was soldered on the motherboard. This method worked fine when computers typically operated on a couple of megabytes or less of RAM, but as the need for memory grew, the number of chips needing space on the motherboard increased.
The solution was to place the memory chips, along with all of the support components, on a separate printed circuit board (PCB) that could then be plugged into a special connector (memory bank) on the motherboard. Most of these chips use a small outline J-lead (SOJ) pin configuration, but quite a few manufacturers use the thin small outline package (TSOP) configuration as well. The key difference between these newer pin types and the original DIP configuration is that SOJ and TSOP chips are surface-mounted to the PCB. In other words, the pins are soldered directly to the surface of the board, not inserted in holes or sockets.
Memory chips are normally only available as part of a card called a module. You've probably seen memory listed as 8x32 or 4x16. These numbers represent the number of the chips multiplied by the capacity of each individual chip, which is measured in megabits (Mb), or one million bits. Take the result and divide it by eight to get the number of megabytes on that module. For example, 4x32 means that the module has four 32-megabit chips. Multiply 4 by 32 and you get 128 megabits. Since we know that a byte has 8 bits, we need to divide our result of 128 by 8. Our result is 16 megabytes!
In the next section we'll look at some other common types of RAM.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

RAM คงใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ใน RAM คง แบบของเครื่องเก็บแต่ละบิตหน่วยความจำ (ดูวิธี Boolean ตรรกะการทำงานสำหรับรายละเอียดในคอฟฟี่ช็อป) ฟลิปฟล็อปสำหรับเซลล์หน่วยความจำใช้สี่ หรือหก transistors พร้อมสายบาง แต่ไม่ได้ถูกฟื้นฟู ทำให้ RAM คงมากเร็วกว่า RAM แบบไดนามิก อย่างไรก็ตาม เนื่อง จากมีชิ้นส่วนเพิ่มเติม เซลล์หน่วยความจำคงจะว่างมากในชิปที่มากกว่าเซลล์หน่วยความจำแบบไดนามิก ดังนั้น คุณได้รับหน่วยความจำน้อยต่อชิ และที่ทำให้ RAM คงราคาแพงมาก.
RAM คงรวดเร็ว และมีราคาแพง และ RAM แบบไดนามิกน้อยแพง และช้าลง เพื่อใช้สร้างของ CPU ความเร็วความแค ในขณะที่ RAM แบบฟอร์มระบบใหญ่พื้นที่ RAM RAM คง
ชิหน่วยความจำในคอมพิวเตอร์ใช้การกำหนดค่า pin สำหรับเรียกไลน์สองแพคเกจ (DIP) เดิม ค่า pin นี้อาจจะ soldered ลงหลุมบนแผงวงจรหลักของคอมพิวเตอร์ หรือเสียบลงในซ็อกเก็ตที่ถูก soldered ในเมนบอร์ด วิธีนี้ทำดีเมื่อคอมพิวเตอร์จะดำเนินการในสองเมกะไบต์ หรือน้อยกว่าของ RAM แต่เป็นความต้องการสำหรับหน่วยความจำโต เพิ่มขึ้นจำนวนชิต้องการพื้นที่บนบอร์ด
โซลูชันมีการ วางชิจำ ด้วยทั้งหมดของคอมโพเนนต์สนับสนุน บนกระดานแยกวงจรพิมพ์ (PCB) ที่สามารถแล้วเสียบตัวเชื่อมต่อพิเศษ (ธนาคารหน่วยความจำ) บนเมนบอร์ด ทั้งนี้ชิใช้เค้าร่างเล็ก J-รอคอย (SOJ) ขาตั้งค่าคอนฟิก แต่ผู้ผลิตค่อนข้างไม่กี่ใช้เค้าร่างเล็กบางแพคเกจ (TSOP) โครงแบบด้วย ความแตกต่างสำคัญระหว่างดัง pin ใหม่และตั้งค่าคอนฟิกบริการเดิมเป็น SOJ ที่ และชิ TSOP มีพื้นที่ติดกับ PCB ในคำอื่น ๆ soldered หมุดโดยตรงกับพื้นผิวของคณะ ไม่แทรกในหลุมหรือซ็อกเก็ต
หน่วยความจำชิมีปกติเท่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของบัตรที่เรียกว่าโมดูล นอกจากนี้คุณอาจได้เห็นหน่วยความจำที่แสดงเป็น 8 x 32 หรือ 4 x 16 ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงจำนวนเศษคูณ ด้วยกำลังการผลิตของแต่ละแต่ละชิพ ที่วัด megabits (Mb), หรือหนึ่งล้านบิต ใช้ผล และหาร ด้วย 8 จะได้รับจำนวนเมกะไบต์ในโมดูลนั้น ตัวอย่าง 4 x 32 หมายความ ว่า โมดูลมี 4 หน่วยเมกะบิต 32 ชิ คูณ 4 โดย 32 และคุณได้รับ 128 megabits เนื่องจากเราทราบว่า ไบต์มี 8 บิต เราจำเป็นต้องแบ่งของเราผล 128 โดย 8 เราจะ 16 เมกะไบต์!
ในส่วนถัดไปเราจะดูบางชนิดทั่วไปของ RAM

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

สแตติกแรม ใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในโอ้เอ้ รูปแบบของฟลิปฟล็อปเก็บแต่ละบิตของหน่วยความจำ ( ดูวิธีการตรรกะงานสำหรับรายละเอียดของ flops พลิก ) เป็นฟลิปฟล็อปสำหรับหน่วยความจำโทรศัพท์มือถือใช้สี่หรือหกทรานซิสเตอร์พร้อมกับบางสาย แต่ไม่ต้องฟื้นฟู นี้ทำให้โอ้เอ้อย่างมีนัยสำคัญได้เร็วกว่าแบบไดนามิกแรม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีชิ้นส่วนเพิ่มเติมเซลล์หน่วยความจำคงที่ขึ้นพื้นที่มากขึ้นบนชิปหน่วยความจำแบบไดนามิกมากกว่าเซลล์ ดังนั้นคุณจะได้รับหน่วยความจำน้อยกว่าต่อชิป และนั่นทำให้โอ้เอ้มากแพงกว่า .
โอ้เอ้ที่รวดเร็วและมีราคาแพงและแบบไดนามิกแรมมีราคาแพงน้อยลงและช้าลง ดังนั้น สแตติกแรมที่ใช้ในการสร้างความเร็วไวแคชของซีพียู ในขณะที่ Dynamic RAM รูปแบบระบบขนาด RAM พื้นที่ .
หน่วยความจำชิปในคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปเดิมใช้ pin ตั้งค่าเรียกแพคเกจแบบ Dual ( จิ้ม ) เข็มนี้การตั้งค่าจะบัดกรีลงในหลุมบนเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์ หรือเสียบลงในซ็อกเก็ตที่บัดกรีบนเมนบอร์ด วิธีนี้ทำงานได้ดีเมื่อคอมพิวเตอร์มักจะผ่าตัด 2-3 เมกะไบต์หรือน้อยกว่าของ RAM แต่เป็นความต้องการความโตจำนวนของชิปที่ต้องการพื้นที่บนเมนบอร์ดเพิ่มขึ้น
สารละลายสถานที่ที่หน่วยความจำชิปพร้อมกับทั้งหมดของการสนับสนุนส่วนประกอบที่แยกพิมพ์แผงวงจร ( PCB ) ที่อาจจะถูกเสียบเข้ากับขั้วต่อพิเศษ ( ธนาคารหน่วยความจำบนเมนบอร์ด ที่สุดของชิปเหล่านี้ใช้ j-lead ร่างเล็ก ( soj ) ปรับแต่งขาแต่ค่อนข้างไม่กี่ผู้ผลิตใช้แพคเกจบางร่างเล็ก ( tsop ) ปรับแต่งได้เป็นอย่างดี ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างรุ่นใหม่เหล่านี้ชนิดและค่าจิ้มขาเดิมที่ soj tsop ชิปและผิวเมาท์กับ PCB ในคำอื่น ๆหมุดบัดกรีโดยตรงบนพื้นผิวของบอร์ด ไม่ได้อยู่ในหลุมหรือซ็อกเก็ต .
ชิปหน่วยความจำโดยปกติจะใช้ได้เฉพาะในส่วนของบัตรที่เรียกว่าโมดูล คุณอาจได้เห็นความทรงจำอยู่เป็น 8x32 หรือ 4x16 . ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงจำนวนของชิปเพิ่มความสามารถของชิปแต่ละบุคคล ซึ่งมีหน่วยวัดเป็นบิต ( MB ) หรือหนึ่งล้านบิต ใช้ผลและแบ่งแปดที่จะได้รับหมายเลขของเมกะไบต์ในโมดูล ตัวอย่างเช่น4x32 หมายความว่าโมดูลมี 4 32 กิโลบิต ชิป คูณ 4 จาก 32 และคุณได้รับ 128 บิต . ตั้งแต่เรารู้ว่าไบต์ 8 บิต เราต้องแบ่งผลของ 128 โดย 8 ของเราคือผล 16 เมกะไบต์ !
ในส่วนถัดไปเราจะดูที่บางอื่น ๆทั่วไป ประเภทของแรม