Portrait หมายถึง ถ่ายคน (ในแง่ของการถ่ายภาพ)
รูป Portrait นั้น ต้องสื่อสาร อารมณ์ ท่าทาง ความโดดเด่นของแบบออกมาให้ได้
ถ่ายให้รู้ว่า ถ่ายใคร หรือ เขาทำอะไร อารมณ์ประมาณไหน
เพราะว่า เราถ่ายคน/บุคคล นั้นเพื่อ
1.ถ่ายให้เห็นว่าคนๆ นั้นเป็นใคร บุคลิกเป็นยังไง เด็ก สวย หล่อ หนุ่ม สาว มีอายุ
2.อารมณ์ในภาพ เป็นยังไง สนุก เศร้า ร่าเริง ขำๆ ฯลฯ
3.ทำอะไรอยู่
ส่วนเรื่องของเทคนิค+แนวคิด มักนิยมใช้...
การถ่ายชัดที่ตัวแบบแล้วเบลอละลายฉากหลัง...
การถ่ายเล่นแสงตกลงบนหน้า หรือย้อนแสงเพื่อให้เกิดแสงสะท้อนบนเส้นผม
การถ่ายในสตูดิโอ เพื่อเน้นความสวย/หล่อ น่ารัก ของนางแบบ และแสงสี
LANDSCAPE เป็นงานที่ผนวกเอา ศิลป และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เข้าด้วยกัน เช่นเดียวกับงานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งภูมิสถาปนิก และสถาปนิก ต่างก็ใช้หลักการออกแบบโดยใช้องค์ประกอบทางศิลป (DESIGN ELEMENTS) เหมือนกันก็คือ FORM, COLOR. TEXTURE, CONTRAST, HARMONY ฯลฯ แต่มีองค์ประกอบปัจจัยที่เพิ่มขึ้นทางภูมิทัศน์ (LANDSCAPE FACTORS) ซึ่งได้แก่ สภาพแวดล้อม, ดิน, น้ำ, ภูมิอากาศ, อาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จะเป็นตัวกำหนด ลักษณะการออกแบบเพื่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากความงาม โดยภูมิสถาปนิก และ สถาปนิก มีหน้าที่คล้ายกันตรงที่เป็นแกนกลางผู้ประสานงานในการออกแบบทางกายภาพ (PHYSICAL DESIGN) ร่วมกับวิศวกรในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดระบบที่ดี และสุนทรียภาพของงานอาคาร (BUILDING SYSTEM) ซึ่งความแตกต่างกันที่เห็นได้ชัดได้เเก่ ในงานของทางวิศวกรรมและ สถาปัตยกรรมของงานอาคาร นั้นจะวิ่งขึ้นในทางสูงหรือแนวดิ่ง แต่ระบบต่าง ๆ ในผังบริเวณ (SITE SYSTEM) ของงาน LANDSCAPE มักจะวิ่งไปในแนวราบ ซึ่งกล่าวได้ว่า งานออกแบบทาง LANDSCAPE คือ งานที่ออกแบบที่เกี่ยวกับพื้นดินและการใช้พื้นดิน ในทุกๆ สิ่งที่จะสร้างให้เกิดมุมมองสิ่งแวดล้อมที่ดีภายนอกอาคาร
ซึ่งงานหลักจริง ๆ ได้แก่ การจัดการออกแบบและวางแผนเกี่ยวกับงานดินโดยรอบอาคาร หรือกลุ่มอาคาร (LAND & MANIPULATION) หรือในขอบเขตระดับผังที่ใหญ่ขึ้น (LANDSCAPE PLANNING) เช่นการวางแผนเกี่ยกับที่ดิน (LAND PLANNING) โดยพิจารณาความเหมาะสมของที่ดินต่อการพัฒนาในแง่ต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และในขณะเดียวกันก็จะให้ข้อเสนอแนะถึงความเหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ของในแต่ ละพื้นที่ หรือชี้ให้เห็นปัญหาผลกระทบที่จะเกิดกับการจัดการ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตและแนวทางแก้ไขต่อไป โดยจะใช้หลักการและเหตุผลทางวิชาการจากการทำการศึกษา วิเคราะห์พื้นที่ (SITE ANALYSIS) ซึ่งวิธีการและรายละเอียดจะขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละพื้นที่ที่ไม่เหมือนกัน เเละจะกล่าวถึงวิธีการและรายละเอียดนี้ในขั้นต่อไป
เเละสำหรับงานในระดับที่ใหญ่ขึ้น(LANDSCAPE PLANNING) ก็จะเป็นการวิเคราะห์ในการจัดวางแผนการใช้ที่ดินระดับภาค ( REGIONAL PLAN) เป็นผังการใช้ที่ดินขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถนำเสนอชี้แนะ การวางองค์ประกอบต่าง ๆ ของการใช้ที่ดินลงไป ซึ่งควรจะต้องมีนักวิชาการด้านอื่น ๆ เช่นผู้ที่มีความรู้ ทางวิศวกรรม, นักผังเมือง, นักเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ร่วมพิจารณาในเหตุผลด้านอื่น ๆที่เกี่ยวข้องนี้ด้วย ซึ่งผลจากการวิเคราะห์เบื้องต้นนี้จะทำให้ทราบและตัดสินใจได้ว่า บริเวณใดควรจะเป็นที่พักอาศัย, แหล่งพาณิชยกรรม, อุตสาหกรรม, ทางสัญจร ฯลฯ ซึ่งก็หมายถึงแผนผังการใช้ที่ดิน (LANDUSE PLAN) พร้อมทั้งควรให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ (RECOMMENDATIONS) ซึ่งจะต้องส่งไปใช้ในการออกแบบในขั้นตอนรายละเอียดของสถาปนิก และมัณฑนากรต่อไป
และขั้นตอนที่สำคัญอีกอย่าง คือ การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ ในด้านทำเลที่ตั้ง และความคุ้มค่า คุ้มทุนให้กับเจ้าของโครงการ ซึ่งมักจะคิดความเป็นไปได้ในด้านการตลาดเพียงด้านเดียว และมองข้ามปัญหา ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นตามมา ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความรู้ในกระบวนการจัดการ และปรับปรุงพื้นที่ให้ดี ให้เหมาะสม ตั้งแต่ต้นก่อนโดยปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรงในขั้นตอนแรกนี้คือ การวิเคราะห์และออกแบบการจัดการเรื่องดินและน้ำให้เสร็จสิ้นก่อนลงมือทำ อย่างอื่น จะทำให้ปัญหาที่ตามมาน้อยลงได้ โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม แล้วนำปัจจัยด้านอื่น ๆ เช่น การตลาด การเงินและด้านเทคนิคพิเศษที่จะช่วยให้การทำงานวางแผนได้สะดวกมาประยุกต์ให้ ประกอบต่อไป ซึ่งวิธีการจัดการงานดินเบื้องต้นก็คือ ต้องออกแบบปรับแต่ระดับดิน (GRADING) ให้กระทบต่อสภาพภูมิทัศน์ให้น้อยที่สุด และประหยัดงบประมาณงานดิน (EARTH WORK) โดยรักษาสมดุลย์ของดินตัดและติดถม (CUT & FILL) เพื่อให้เหมาะสมแก่การใช้งาน ดูแลรักษาง่าย และป้องกันการกัดเซาะ พังทลาย (EROSION CONTROL) โดยออกแบบทางไหลของน้ำให้ไหลออกจากบริเวณใช้งาน (DRAINAGE DESION) และรักษาทางไหลของน้ำตามธรรมชาติ (EXISTING DRAINAGE WAY) โดยการออกแบบรูปลักษณ์ของพื้นดิน (LANDFORM) ด้วยความเข้าใจ และรู้หลักวิธีการสำรวจของที่มาข้อมูลภูมิประเทศเบื้องต้นอย่างถูกต้อง และตรวจสอบได้ ก่อนการออกแบบ เพื่อความถูกต้องเกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าและไม่เกิดผลกระทบ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อการถูกรบกวน (SENSITIVE TO IMPACTS) เเละพื้นที่มีปัญหาอื่นๆ
ภาพหมายถึงถ่ายคน (ในแง่ของการถ่ายภาพ)รูปภาพนั้นต้องสื่อสารอารมณ์ท่าทางความโดดเด่นของแบบออกมาให้ได้ถ่ายให้รู้ว่าถ่ายใครหรือเขาทำอะไรอารมณ์ประมาณไหนนั้นเพื่อเพราะว่าเราถ่ายคน/บุคคล1.ถ่ายให้เห็นว่าคน ๆ นั้นเป็นใครบุคลิกเป็นยังไงเด็กสวยหล่อหนุ่มสาวมีอายุ2.อารมณ์ในภาพ เป็นยังไงสนุกเศร้าร่าเริงขำ ๆ ฯลฯ3.ทำอะไรอยู่ส่วนเรื่องของเทคนิค + แนวคิดมักนิยมใช้...การถ่ายชัดที่ตัวแบบแล้วเบลอละลายฉากหลัง...การถ่ายเล่นแสงตกลงบนหน้าหรือย้อนแสงเพื่อให้เกิดแสงสะท้อนบนเส้นผมและแสงสีของนางแบบน่ารักเพื่อเน้นความสวย/หล่อการถ่ายในสตูดิโอLANDSCAPE เป็นงานที่ผนวกเอา ศิลป และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เข้าด้วยกัน เช่นเดียวกับงานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งภูมิสถาปนิก และสถาปนิก ต่างก็ใช้หลักการออกแบบโดยใช้องค์ประกอบทางศิลป (DESIGN ELEMENTS) เหมือนกันก็คือ FORM, COLOR. TEXTURE, CONTRAST, HARMONY ฯลฯ แต่มีองค์ประกอบปัจจัยที่เพิ่มขึ้นทางภูมิทัศน์ (LANDSCAPE FACTORS) ซึ่งได้แก่ สภาพแวดล้อม, ดิน, น้ำ, ภูมิอากาศ, อาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จะเป็นตัวกำหนด ลักษณะการออกแบบเพื่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากความงาม โดยภูมิสถาปนิก และ สถาปนิก มีหน้าที่คล้ายกันตรงที่เป็นแกนกลางผู้ประสานงานในการออกแบบทางกายภาพ (PHYSICAL DESIGN) ร่วมกับวิศวกรในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดระบบที่ดี และสุนทรียภาพของงานอาคาร (BUILDING SYSTEM) ซึ่งความแตกต่างกันที่เห็นได้ชัดได้เเก่ ในงานของทางวิศวกรรมและ สถาปัตยกรรมของงานอาคาร นั้นจะวิ่งขึ้นในทางสูงหรือแนวดิ่ง แต่ระบบต่าง ๆ ในผังบริเวณ (SITE SYSTEM) ของงาน LANDSCAPE มักจะวิ่งไปในแนวราบ ซึ่งกล่าวได้ว่า งานออกแบบทาง LANDSCAPE คือ งานที่ออกแบบที่เกี่ยวกับพื้นดินและการใช้พื้นดิน ในทุกๆ สิ่งที่จะสร้างให้เกิดมุมมองสิ่งแวดล้อมที่ดีภายนอกอาคารซึ่งงานหลักจริง ๆ ได้แก่ การจัดการออกแบบและวางแผนเกี่ยวกับงานดินโดยรอบอาคาร หรือกลุ่มอาคาร (LAND & MANIPULATION) หรือในขอบเขตระดับผังที่ใหญ่ขึ้น (LANDSCAPE PLANNING) เช่นการวางแผนเกี่ยกับที่ดิน (LAND PLANNING) โดยพิจารณาความเหมาะสมของที่ดินต่อการพัฒนาในแง่ต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และในขณะเดียวกันก็จะให้ข้อเสนอแนะถึงความเหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ของในแต่ ละพื้นที่ หรือชี้ให้เห็นปัญหาผลกระทบที่จะเกิดกับการจัดการ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตและแนวทางแก้ไขต่อไป โดยจะใช้หลักการและเหตุผลทางวิชาการจากการทำการศึกษา วิเคราะห์พื้นที่ (SITE ANALYSIS) ซึ่งวิธีการและรายละเอียดจะขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละพื้นที่ที่ไม่เหมือนกัน เเละจะกล่าวถึงวิธีการและรายละเอียดนี้ในขั้นต่อไปเเละสำหรับงานในระดับที่ใหญ่ขึ้น(LANDSCAPE PLANNING) ก็จะเป็นการวิเคราะห์ในการจัดวางแผนการใช้ที่ดินระดับภาค ( REGIONAL PLAN) เป็นผังการใช้ที่ดินขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถนำเสนอชี้แนะ การวางองค์ประกอบต่าง ๆ ของการใช้ที่ดินลงไป ซึ่งควรจะต้องมีนักวิชาการด้านอื่น ๆ เช่นผู้ที่มีความรู้ ทางวิศวกรรม, นักผังเมือง, นักเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ร่วมพิจารณาในเหตุผลด้านอื่น ๆที่เกี่ยวข้องนี้ด้วย ซึ่งผลจากการวิเคราะห์เบื้องต้นนี้จะทำให้ทราบและตัดสินใจได้ว่า บริเวณใดควรจะเป็นที่พักอาศัย, แหล่งพาณิชยกรรม, อุตสาหกรรม, ทางสัญจร ฯลฯ ซึ่งก็หมายถึงแผนผังการใช้ที่ดิน (LANDUSE PLAN) พร้อมทั้งควรให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ (RECOMMENDATIONS) ซึ่งจะต้องส่งไปใช้ในการออกแบบในขั้นตอนรายละเอียดของสถาปนิก และมัณฑนากรต่อไปและขั้นตอนที่สำคัญอีกอย่าง คือ การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ ในด้านทำเลที่ตั้ง และความคุ้มค่า คุ้มทุนให้กับเจ้าของโครงการ ซึ่งมักจะคิดความเป็นไปได้ในด้านการตลาดเพียงด้านเดียว และมองข้ามปัญหา ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นตามมา ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความรู้ในกระบวนการจัดการ และปรับปรุงพื้นที่ให้ดี ให้เหมาะสม ตั้งแต่ต้นก่อนโดยปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรงในขั้นตอนแรกนี้คือ การวิเคราะห์และออกแบบการจัดการเรื่องดินและน้ำให้เสร็จสิ้นก่อนลงมือทำ อย่างอื่น จะทำให้ปัญหาที่ตามมาน้อยลงได้ โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม แล้วนำปัจจัยด้านอื่น ๆ เช่น การตลาด การเงินและด้านเทคนิคพิเศษที่จะช่วยให้การทำงานวางแผนได้สะดวกมาประยุกต์ให้ ประกอบต่อไป ซึ่งวิธีการจัดการงานดินเบื้องต้นก็คือ ต้องออกแบบปรับแต่ระดับดิน (GRADING) ให้กระทบต่อสภาพภูมิทัศน์ให้น้อยที่สุด และประหยัดงบประมาณงานดิน (EARTH WORK) โดยรักษาสมดุลย์ของดินตัดและติดถม (CUT & FILL) เพื่อให้เหมาะสมแก่การใช้งาน ดูแลรักษาง่าย และป้องกันการกัดเซาะ พังทลาย (EROSION CONTROL) โดยออกแบบทางไหลของน้ำให้ไหลออกจากบริเวณใช้งาน (DRAINAGE DESION) และรักษาทางไหลของน้ำตามธรรมชาติ (EXISTING DRAINAGE WAY) โดยการออกแบบรูปลักษณ์ของพื้นดิน (LANDFORM) ด้วยความเข้าใจ และรู้หลักวิธีการสำรวจของที่มาข้อมูลภูมิประเทศเบื้องต้นอย่างถูกต้อง และตรวจสอบได้ ก่อนการออกแบบ เพื่อความถูกต้องเกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าและไม่เกิดผลกระทบ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อการถูกรบกวน (SENSITIVE TO IMPACTS) เเละพื้นที่มีปัญหาอื่นๆ
การแปล กรุณารอสักครู่..

ภาพหมายถึงถ่ายคน (ในแง่ของการถ่ายภาพ) รูปภาพนั้นต้องสื่อสารอารมณ์ท่าทาง ถ่ายหรือใครเขาทำอะไรอารมณ์ประมาณไหนเพราะว่าเราถ่ายคน / บุคคลนั้นเพื่อ1. ถ่ายให้เห็นว่าคน ๆ นั้นเป็นใครบุคลิกเป็นยังไงเด็กสวยหล่อหนุ่มสาวมีอายุ2 อารมณ์ในภาพเป็นยังไงสนุกเศร้าร่าเริงขำ ๆ เพื่อเน้นความสวย / หล่อน่ารักของนางแบบและแสงสีภูมิเป็นงานที่ผนวกเอาศิลปและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเข้าด้วยกันเช่นเดียวกับงานทางสถาปัตยกรรมซึ่งภูมิสถาปนิกและสถาปนิก (Design Elements) เหมือนกันก็คือรูปแบบสี เนื้อ, ความคมชัด, HARMONY ฯลฯ (ปัจจัยภูมิ) ซึ่ง ได้แก่ สภาพแวดล้อม, ดิน, น้ำ, ภูมิอากาศ, อาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จะเป็นตัวกำหนด นอกเหนือจากความงามโดยภูมิสถาปนิกและสถาปนิก (การออกแบบทางกายภาพ) ร่วมกับวิศวกรในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดระบบที่ดีและสุนทรียภาพของงานอาคาร (อาคาร SYSTEM) ในงานของทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของงานอาคารนั้นจะวิ่งขึ้นในทางสูงหรือแนวดิ่ง แต่ระบบต่าง ๆ ในผังบริเวณ (เว็บไซต์ SYSTEM) ของงานภูมิมักจะวิ่งไปในแนวราบซึ่งกล่าวได้ว่างานออกแบบทางภูมิคือ ในทุกๆ ๆ ได้แก่ หรือกลุ่มอาคาร (ที่ดินและการจัดการ) หรือในขอบเขตระดับผังที่ใหญ่ขึ้น (การวางแผนภูมิ) เช่นการวางแผนเกี่ยกับที่ดิน (ที่ดินวางแผน) ๆ ละพื้นที่ วิเคราะห์พื้นที่ (เว็บไซต์วิเคราะห์) วางแผน) (REGIONAL PLAN) เป็นผังการใช้ที่ดินขนาดใหญ่ซึ่งสามารถนำเสนอชี้แนะการวางองค์ประกอบต่าง ๆ ของการใช้ที่ดินลงไปซึ่งควรจะต้องมีนักวิชาการด้านอื่น ๆ เช่นผู้ที่มีความรู้ทางวิศวกรรม, นักผังเมือง, นัก เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ร่วมพิจารณาในเหตุผลด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องนี้ด้วย บริเวณใดควรจะเป็นที่พักอาศัย, แหล่งพาณิชยกรรม, อุตสาหกรรม, ทางสัญจร ฯลฯ ซึ่งก็หมายถึงแผนผังการใช้ที่ดิน (แผนใช้ที่ดิน) พร้อมทั้งควรให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ (แนะนำ) คือ ในด้านทำเลที่ตั้งและความคุ้มค่าคุ้มทุนให้กับเจ้าของโครงการ และมองข้ามปัญหา ดังนั้น และปรับปรุงพื้นที่ให้ดีให้เหมาะสม อย่างอื่นจะทำให้ปัญหาที่ตามมาน้อยลงได้โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้วนำปัจจัยด้านอื่น ๆ เช่นการตลาด ประกอบต่อไป ต้องออกแบบปรับ แต่ระดับดิน (GRADING) และประหยัดงบประมาณงานดิน (EARTH WORK) โดยรักษาสมดุลย์ของดินตัดและติดถม (Cut & FILL) เพื่อให้เหมาะสมแก่การใช้งานดูแลรักษาง่ายและป้องกันการกัดเซาะพังทลาย (ชะ CONTROL) (ระบาย DESION) และรักษาทางไหลของน้ำตามธรรมชาติ (ที่มีอยู่ทางระบายน้ำ) โดยการออกแบบรูปลักษณ์ของพื้นดิน (ดิน) ด้วยความเข้าใจ และตรวจสอบได้ก่อนการออกแบบ คุ้มค่าและไม่เกิดผลกระทบ (ความไวต่อผลกระทบ) เเละพื้นที่มีปัญหาอื่น ๆ
การแปล กรุณารอสักครู่..
