วิธีการเขียน Essay
น้องๆหลายคนอาจจะเคยสงสัย ว่าที่เพื่อนๆเขาพูดถึงการเขียน Essay เนี่ย จริงๆแล้วเจ้า Essay เขามีหน้าตาเป็นอย่างไร และจะเขียนกันไปเพื่ออะไรนะ โอ๊ะ!! ไม่ต้องทำหน้ายุ่งคิ้วผูกโบว์อย่างนั้นค่ะน้องๆ วันนี้พี่ๆชาวเก่งดีจะมาช่วยไขปัญหาข้องใจให้น้องๆเอง ตามพี่ๆมาเลยจ้า
จริงๆแล้วหากจะเรียกกันแบบไทยแท้แต่โบราณให้เข้าใจกันได้ง่ายๆ เจ้า Essay (เอส-เส) เนี่ย ก็คือเรียงความหรือบทความเราดีๆนี่เองละค่ะ เพียงแต่ว่าต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น น้องๆบางโรงเรียนอาจจะโชคดีกว่าเพื่อนๆหน่อย เพราะว่ามีโอกาสได้เรียนการเขียน Essay ตั้งแต่อยู่ในชั้นมัธยม แต่อีกหลายๆโรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศไทย จะยังไม่มีโอกาสได้เรียนการเขียน Essay ในชั้นนี้ แต่ไม่ต้องน้อยใจไปนะคะ ยังไงเวลาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย น้องๆจะได้เรียนเขียน Essay ในวิชาภาษาอังกฤษแน่นอนค่ะ เอาเป็นว่าวันนี้พี่ๆชาวเก่งดีจะมาพูดถึงการเขียน Essay ให้น้องๆได้ทราบไว้ เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนได้เรียนจริงละกันนะคะ
Essay คือ เรียงความหรือบทความซึ่งเขียนโดยใช้ภาษาอังกฤษ มีรายละเอียดน่ารู้ในการเขียน ดังนี้ค่ะ
ขั้นตอนในการเขียน Essay
1. Planning : เมื่อทราบหัวข้อในการเขียน Essay แล้ว ขั้นตอนแรก คือ การจัดระบบความคิด กำหนดกรอบเนื้อหา โดยต้องตัดสินใจว่าจะพูดเกี่ยวกับอะไรบ้าง และพูดอย่างไร โดยเนื้อหาที่คิดว่าจะพูดเหล่านั้น ต้องไปด้วยกันได้และไม่หลงประเด็นออกนอกเรื่องนะคะ
2. Drafting : ขั้นตอนที่สอง ต้องนำกรอบเนื้อหาที่ตัดสินใจว่าจะเขียนจากในข้อ 1 มาลองร่างดูให้เกิดเป็นเค้าโครงคร่าวๆของ Essay ขึ้น โดยมีการเรียงลำดับให้เค้าโครงเนื้อหาเหล่านั้นดูกลมกลืนลื่นไหล ไม่กระโดดไปกระโดดมาค่ะ
3. Writing : ขั้นตอนที่สามอันสำคัญยิ่ง คือ การลงมือเขียน Essay ตามที่ได้ร่างเอาไว้ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างส่วนต่างๆของ Essay จะกล่าวไว้ในหัวข้อถัดไปนะคะ
4. Editing : ขั้นตอนที่สี่ เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าขั้นตอนที่สาม เนื่องจากเป็นขั้นตอนของการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ตรวจทานให้ Essay ที่เราเขียนมีความสมบูรณ์มากที่สุด พร้อมที่จะออกไปสู่สายตาประชาชนได้อย่างเต็มภาคภูมิค่ะ
โครงสร้างของ Essay
1. Introduction : เป็นย่อหน้าแรกของ Essay ใช้ในการเปิดเรื่อง Introduction ที่ดี ควรจะสามารถดึงดูดใจให้ผู้อ่านสนใจและอยากจะอ่าน Essay ของเราต่อจนจบ โดยภายใน Introduction มี Thesis Statement ซึ่งเป็นประโยคสำคัญที่บอกให้ผู้อ่านทราบว่า Essay เรื่องนี้ต้องการจะกล่าวอะไร หรือพูดอีกอย่างก็ คือ เป็นประโยคที่บอก Main Idea ของ Essay นั่นเอง
2. Body : ย่อหน้าถัดไปของ Essay เป็นส่วนของเนื้อหาที่เราต้องการจะกล่าวเพื่อสนับสนุน Thesis Statement หรือ Main Idea ของเรา โดย Body ของ Essay จะมีเหตุผลสนับสนุนอยู่ 3 ข้อ เสมอ เป็นประเพณีนิยมของการเขียน Essay ค่ะ
2.1 Supporting Idea 1 : เหตุผลสนับสนุนข้อ 1 การเขียนจะเริ่มด้วยประโยคสรุปใจความสำคัญ (Topic Sentence) จากนั้นจึงอธิบายเหตุผลสนับสนุนนั้นๆให้เข้าใจชัดเจน และอาจมีการยกตัวอย่างประกอบเพื่อความเข้าใจ
2.2 Supporting Idea 2 : เหตุผลสนับสนุนข้อ 2 วิธีการเขียนเช่นเดียวกับ เหตุผลสนับสนุนข้อ 1
2.3 Supporting Idea 3 : เหตุผลสนับสนุนข้อ 3 วิธีการเขียนเช่นเดียวกับ เหตุผลสนับสนุนข้อ 1 โดย Supporting Idea ทั้ง 3 ข้อ จะต้องมีเอกภาพ (Unity) พูดไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสนับสนุน Main Idea ใน Thesis Statement ที่กล่าวในย่อหน้าแรก และต้องเรียง Supporting Idea ทั้ง 3 ข้อ ตามลำดับให้กลมกลืนเหมาะสม อ่านแล้วไม่สะดุดนะคะ
3. Conclusion : ย่อหน้าสุดท้ายของ Essay เป็นการสรุปสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด โดย Conclusion ที่ดีควรเน้นย้ำ Thesis Statement หรือ Main Idea ให้เกิดความชัดเจนในใจของผู้อ่าน ไม่เขียนออกนอกเรื่อง และอย่าลืมที่จะทิ้งท้ายให้เกิดความประทับใจค่ะ
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
ในการเขียน Essay น้องๆควรใช้คำเชื่อม (Transition) ต่างๆ อาทิเช่น however, therefore, moreover, then, while, from then on, on the other hand, etc. มาช่วยในการเรียงต่อแต่ละประโยคเข้าด้วยกันเป็นย่อหน้านะคะ เนื่องจากหากน้องๆนำแต่ละประโยคมาเรียงต่อกันโดยตรงจะทำให้เป็น Essay ที่อ่านแล้วเนื้อความแข็งไม่สละสลวยเท่าที่ควร การใช้คำเชื่อมจะช่วยให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมกับเนื้อหาของ Essay มากขึ้น และสามารถคาดการณ์ทิศทางของเนื้อหาใน Essay ได้ก่อน จากคำเชื่อมระหว่างประโยค ว่าเนื้อหาจะสอดคล้องหรือขัดแย้งกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในเนื้อหาของ Essay ได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
สิ่งที่ต้องตรวจแก้ในขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน Essay
1. เนื้อหาน่าสนใจ อ่านง่าย อ่านเข้าใจ ไม่หลงประเด็น ไม่ออกนอกเรื่อง
2. การเรียงลำดับประโยค การเชื่อมประโยคกลมกลืนลื่นไหลและเหมาะสม ไม่กระโดด ไม่สะดุด
3. ใช้ Vocabulary เหมาะสมกับประโยคและเนื้อหาโดยรวม ไม่ใช้คำผิดระดับ เช่น การนำ Vocabulary แบบเป็นทางการ มาใช้ใน Essay ที่พูดเกี่ยวกับเรื่องสบายๆเป็นกันเอง
4. ใช้ Grammar ถูกต้อง โดยตรวจเช็คการใช้ Tense, Subject and Verb Agreement, Article และ Spelling ให้ถูกต้องตามหลักการ
5. อย่าลืมอ้างอิงแหล่งที่มาเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ให้ข้อมูลด้วยนะคะ
เขียนโดย parn ที่ 05:49
เรียงวิธีการเขียน น้องๆหลายคนอาจจะเคยสงสัยว่าที่เพื่อนๆเขาพูดถึงการเขียนเรียงความเนี่ยจริงๆแล้วเจ้าเรียงเขามีหน้าตาเป็นอย่างไรและจะเขียนกันไปเพื่ออะไรนะโอ๊ะ!! ไม่ต้องทำหน้ายุ่งคิ้วผูกโบว์อย่างนั้นค่ะน้อง ๆ วันนี้พี่ๆชาวเก่งดีจะมาช่วยไขปัญหาข้องใจให้น้องๆเองตามพี่ๆมาเลยจ้าจริงๆแล้วหากจะเรียกกันแบบไทยแท้แต่โบราณให้เข้าใจกันได้ง่าย ๆ เจ้าเรียง (เอส-เส) เนี่ยก็คือเรียงความหรือบทความเราดีๆนี่เองละค่ะเพียงแต่ว่าต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นน้องๆบางโรงเรียนอาจจะโชคดีกว่าเพื่อนๆหน่อยเพราะว่ามีโอกาสได้เรียนการเขียนเรียงตั้งแต่อยู่ในชั้นมัธยมแต่อีกหลายๆโรงเรียนซึ่งเป็นโรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศไทยจะยังไม่มีโอกาสได้เรียนการเขียนเรียงในชั้นนี้แต่ไม่ต้องน้อยใจไปนะคะยังไงเวลาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยน้องๆจะได้เรียนเขียนเรียงในวิชาภาษาอังกฤษแน่นอนค่ะเอาเป็นว่าวันนี้พี่ๆชาวเก่งดีจะมาพูดถึงการเขียนเรียงให้น้องๆได้ทราบไว้เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนได้เรียนจริงละกันนะคะเรียงความคือเรียงความหรือบทความซึ่งเขียนโดยใช้ภาษาอังกฤษมีรายละเอียดน่ารู้ในการเขียนดังนี้ค่ะเรียงขั้นตอนในการเขียน 1. การวางแผน: เมื่อทราบหัวข้อในการเขียนเรียงแล้วขั้นตอนแรกคือการจัดระบบความคิดกำหนดกรอบเนื้อหาโดยต้องตัดสินใจว่าจะพูดเกี่ยวกับอะไรบ้างและพูดอย่างไรโดยเนื้อหาที่คิดว่าจะพูดเหล่านั้นต้องไปด้วยกันได้และไม่หลงประเด็นออกนอกเรื่องนะคะ2. ร่าง: ขั้นตอนที่สองต้องนำกรอบเนื้อหาที่ตัดสินใจว่าจะเขียนจากในข้อ 1 มาลองร่างดูให้เกิดเป็นเค้าโครงคร่าวๆของเรียงขึ้นโดยมีการเรียงลำดับให้เค้าโครงเนื้อหาเหล่านั้นดูกลมกลืนลื่นไหลไม่กระโดดไปกระโดดมาค่ะ 3. เขียน: จะกล่าวไว้ในหัวข้อถัดไปนะคะเรียงความขั้นตอนที่สามอันสำคัญยิ่งคือการลงมือเขียนเรียงตามที่ได้ร่างเอาไว้ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างส่วนต่างๆของ4. แก้ไข: ขั้นตอนที่สี่เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าขั้นตอนที่สามเนื่องจากเป็นขั้นตอนของการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ตรวจทานให้เรียงที่เราเขียนมีความสมบูรณ์มากที่สุดพร้อมที่จะออกไปสู่สายตาประชาชนได้อย่างเต็มภาคภูมิค่ะ เรียงโครงสร้างของ1. บทนำ: เป็นย่อหน้าแรกของเรียงใช้ในการเปิดเรื่องนำที่ดีควรจะสามารถดึงดูดใจให้ผู้อ่านสนใจและอยากจะอ่านเรียงของเราต่อจนจบโดยภายในแนะนำมีวิทยานิพนธ์งบซึ่งเป็นประโยคสำคัญที่บอกให้ผู้อ่านทราบว่าเรียงเรื่องนี้ต้องการจะกล่าวอะไรหรือพูดอีกอย่างก็คือเป็นประโยคที่บอกหลักนั้น ๆ เรียงความนั่นเอง2. ร่างกาย: ย่อหน้าถัดไปของเรียงเป็นส่วนของเนื้อหาที่เราต้องการจะกล่าวเพื่อสนับสนุนวิทยานิพนธ์รายงานหรือหลักของเราโดยร่างกายนั้น ๆ เรียงจะมีเหตุผลสนับสนุนอยู่ 3 ข้อเสมอเป็นประเพณีนิยมของการเขียนเรียงความค่ะ 2.1 สนับสนุนความคิดที่ 1: เหตุผลสนับสนุนข้อ 1 การเขียนจะเริ่มด้วยประโยคสรุปใจความสำคัญ (หัวข้อประโยค) จากนั้นจึงอธิบายเหตุผลสนับสนุนนั้นๆให้เข้าใจชัดเจนและอาจมีการยกตัวอย่างประกอบเพื่อความเข้าใจ2.2 สนับสนุนความคิดที่ 2: เหตุผลสนับสนุนข้อ 2 วิธีการเขียนเช่นเดียวกับเหตุผลสนับสนุนข้อ 1 2.3 สนับสนุนความคิดที่ 3: เหตุผลสนับสนุนข้อ 3 วิธีการเขียนเช่นเดียวกับเหตุผลสนับสนุนข้อ 1 โดยสนับสนุนความคิดทั้ง 3 ข้อ (สามัคคี) จะต้องมีเอกภาพพูดไปในทิศทางเดียวกันเพื่อสนับสนุนหลักในวิทยานิพนธ์งบที่กล่าวในย่อหน้าแรกและต้องเรียงสนับสนุนความคิดทั้ง 3 ข้อตามลำดับให้กลมกลืนเหมาะสมอ่านแล้วไม่สะดุดนะคะ3. สรุป: ย่อหน้าสุดท้ายของเรียงเป็นการสรุปสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดโดยบทสรุปที่ดีควรเน้นย้ำวิทยานิพนธ์รายงานหรือหลักให้เกิดความชัดเจนในใจของผู้อ่านไม่เขียนออกนอกเรื่องและอย่าลืมที่จะทิ้งท้ายให้เกิดความประทับใจค่ะ ข้อควรรู้เพิ่มเติมในการเขียน Essay น้องๆควรใช้คำเชื่อม (Transition) ต่างๆ อาทิเช่น however, therefore, moreover, then, while, from then on, on the other hand, etc. มาช่วยในการเรียงต่อแต่ละประโยคเข้าด้วยกันเป็นย่อหน้านะคะ เนื่องจากหากน้องๆนำแต่ละประโยคมาเรียงต่อกันโดยตรงจะทำให้เป็น Essay ที่อ่านแล้วเนื้อความแข็งไม่สละสลวยเท่าที่ควร การใช้คำเชื่อมจะช่วยให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมกับเนื้อหาของ Essay มากขึ้น และสามารถคาดการณ์ทิศทางของเนื้อหาใน Essay ได้ก่อน จากคำเชื่อมระหว่างประโยค ว่าเนื้อหาจะสอดคล้องหรือขัดแย้งกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในเนื้อหาของ Essay ได้ดียิ่งขึ้นค่ะเรียงสิ่งที่ต้องตรวจแก้ในขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน1. เนื้อหาน่าสนใจอ่านง่ายอ่านเข้าใจไม่หลงประเด็นไม่ออกนอกเรื่อง2. การเรียงลำดับประโยคการเชื่อมประโยคกลมกลืนลื่นไหลและเหมาะสมไม่กระโดดไม่สะดุด 3. ใช้คำศัพท์เหมาะสมกับประโยคและเนื้อหาโดยรวมไม่ใช้คำผิดระดับเช่นการนำคำศัพท์แบบเป็นทางการมาใช้ในเรียงความที่พูดเกี่ยวกับเรื่องสบายๆเป็นกันเอง4 การใช้ไวยากรณ์ถูกต้องโดยตรวจเช็คการใช้กาล ชื่อเรื่อง และข้อ ตกลงกริยา บทความการสะกดคำและให้ถูกต้องตามหลักการ 5. อย่าลืมอ้างอิงแหล่งที่มาเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ให้ข้อมูลด้วยนะคะ เขียนโดยปาน 05:49
การแปล กรุณารอสักครู่..
