Over the past few decades, many bac

Over the past few decades, many bacteria have become resistant to existing antibiotics, and few new drugs have emerged. A recent study from a U.K. commission on antimicrobial resistance estimated that by 2050, antibiotic-resistant bacterial infections will kill 10 million people per year, if no new drugs are developed.


To help rebuild the arsenal against infectious diseases, many scientists are turning toward naturally occurring proteins known as antimicrobial peptides, which can kill not only bacteria but other microbes such as viruses and fungi. A team of researchers at MIT, the University of Brasilia, and the University of British Columbia has now engineered an antimicrobial peptide that can destroy many types of bacteria, including some that are resistant to most antibiotics.

"One of our main goals is to provide solutions to try to combat antibiotic resistance," says MIT postdoc Cesar de la Fuente. "This peptide is exciting in the sense that it provides a new alternative for treating these infections, which are predicted to kill more people annually than any other cause of death in our society, including cancer."

De la Fuente is the corresponding author of the new study, and one of its lead authors along with Osmar Silva, a postdoc at the University of Brasilia, and Evan Haney, a postdoc at the University of British Columbia. Timothy Lu, an MIT associate professor of electrical engineering and computer science, and of biological engineering, is also an author of the paper, which appears in the Nov. 2 issue of Scientific Reports.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แบคทีเรียจำนวนมากมีความทนทานต่อยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ และยาใหม่ที่ไม่มีโผล่ออกมา การศึกษาล่าสุดจากคณะกรรมการสหราชอาณาจักรในความต้านทานต่อยาต้านจุลชีพประมาณว่า 2593 ติดเชื้อแบคทีเรียที่ต้านทานยาปฏิชีวนะจะฆ่า 10 ล้านคนต่อปี หากมีพัฒนายาใหม่ไม่เพื่อช่วยสร้างอาร์เซนอลกับโรคติดเชื้อ นักวิทยาศาสตร์หลายคนจะเปลี่ยนไปเกิดขึ้นตามธรรมชาติโปรตีนที่เรียกว่าเปปไทด์ต้านจุลชีพ ซึ่งสามารถฆ่าแบคทีเรียที่ไม่เพียงแต่จุลินทรีย์อื่น ๆ เช่นไวรัสและเชื้อรา งานวิจัยที่ MIT มหาวิทยาลัยบราซิเลีย และมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียได้ตอนนี้วิศวกรรมการเปปไทด์ต้านจุลชีพที่สามารถทำลายแบคทีเรีย รวมหลายชนิดบางอย่างที่มีความทนทานต่อยาปฏิชีวนะมากที่สุด"หนึ่งในเป้าหมายหลักของเราคือการให้โซลูชั่นเพื่อพยายามต่อสู้ต้านทานยาปฏิชีวนะ MIT postdoc Cesar ฟูเอนเตเดลากล่าว "เปปไทด์นี้เป็นที่น่าตื่นเต้นในความรู้สึกมันให้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับการรักษาติดเชื้อเหล่านี้ ซึ่งคาดว่า การฆ่าคนเป็นประจำทุกปีมากกว่าสาเหตุอื่น ๆ ของความตายในสังคมของเรา รวมทั้งโรคมะเร็ง"ฟูเอนเตเดลาเป็นผู้เขียนที่สอดคล้องกันของการศึกษาใหม่ และหนึ่งในผู้เขียนรอ Osmar Silva, postdoc ที่มหาวิทยาลัยบราซิเลีย และ Evan Haney, postdoc ที่มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ทิโมธี Lu, MIT ศาสตราจารย์วิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และ วิศวกรรมชีวภาพ ยังเป็นผู้เขียนของกระดาษ ซึ่งปรากฏในรายงานทางวิทยาศาสตร์ประเด็น 2 พ.ย.

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

กว่าสามทศวรรษที่ผ่านมาได้กลายเป็นมากแบคทีเรียต้านสารปฏิชีวนะที่มีอยู่และยาใหม่ไม่เกิดขึ้นได้ ผลการศึกษาล่าสุดจากคณะกรรมการที่มีต่อความต้านทานการประมาณการณ์ว่า ภายในปี 2050 , ยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียจะฆ่า 10 ล้านคนต่อปี ถ้าไม่มียาใหม่ที่ได้รับการพัฒนาที่จะช่วยสร้างคลังแสงต่อต้านโรคติดเชื้อ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากจะเปลี่ยนไปตามธรรมชาติโปรตีนที่เรียกว่าเปปไทด์ต้านจุลชีพ ซึ่งสามารถฆ่าไม่เพียง แต่จุลินทรีย์อื่นๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ทีมนักวิจัยที่ MIT มหาวิทยาลัย Brasilia และ มหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย ได้ ตอนนี้ ยาเปปไทด์ที่สามารถทำลายแบคทีเรียได้หลายชนิด รวมทั้งบางอย่างที่ทนต่อยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่" หนึ่งในเป้าหมายหลักของเราคือการให้โซลูชั่นเพื่อพยายามที่จะต่อสู้ต้านทานยาปฏิชีวนะ กล่าวว่า ด้วย postdoc Cesar de la Fuente ” เปปไทด์นี้เป็นที่น่าตื่นเต้นในความรู้สึกว่ามันมี ทางเลือกใหม่สำหรับการรักษาเชื้อเหล่านี้ ซึ่งคาดว่าจะฆ่าคนมากกว่าปีอื่น ๆสาเหตุของการตายในสังคมของเรา รวมถึงมะเร็ง”de la Fuente เป็นผู้เขียนที่เกี่ยวข้องของการศึกษาใหม่ และหนึ่งในผู้เขียนพร้อมกับนำ osmar ซิลวา , postdoc ที่มหาวิทยาลัยของบราซิล และ อีวาน นีย์ , postdoc ที่มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ทิโมธี Lu , MIT ศาสตราจารย์ทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และวิศวกรรมชีวภาพ ยังเป็นผู้เขียนของกระดาษ ซึ่งปรากฏใน 2 พฤศจิกายนปัญหาของรายงานทางวิทยาศาสตร์