The first type of measurement that

The first type of measurement that was
used to determine this information was a behavioral
one, the “click-through,” that measured
the number of times a visitor clicked on
a banner ad at the site. In addition, advertisers
could track how many sales resulted from
click-throughs. For many years, this was the
industry standard and everybody seemed
pleased. In the mid-1990s click-through rates
for some banner ads were around 30%. But
in the past few years, as the novelty of banner
ads has worn off and as more and more
banners clutter website pages, there has been
a dramatic decline in click-through rates. A
2001 study revealed that the click-through
rate had plummeted to only 0.3% (Green &
Elgin, 2001).
Given these dismal numbers, it is not
surprising that researchers looked for ways
to improve the effectiveness of banner ads.
In one instance, it was found that reducing
the number of banner ads on a web page
significantly increased the click-through
rate of those that remained (Klaassen,
2009). Robinson and Wysocka (2007) used
click-through data to determine that larger
banner ads with longer messages tended to
be the most effective.
Additional research examined the relative
efficacy of different kinds of display ads
including the skyscraper ad (tall and skinny
ads at the right and left side of a website),
pop-up and pop-under ads (ads that appear
when a web page is opened and have to
be closed to view the content underneath),
square and rectangular ads that appear
within the text portion of the website, and
floating ads that appear to hover over the
content of a web page. One study found that
consumers were most annoyed by pop-up
and floating ads (Burns & Lutz, 2006).
Danaher and Mullarkey (2003) noted
that the longer a person is exposed to a web
page, the more likely they are to remember
an ad. They also found that consumer motivation
for visiting the site had an impact on

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ชนิดแรกของวัดที่ใช้เพื่อกำหนดข้อมูลเป็นพฤติกรรมหนึ่ง การ "คลิกผ่าน ที่วัดจำนวนครั้งที่ผู้เยี่ยมชมคลิกแบนเนอร์โฆษณาในเว็บไซต์ นอกจากนี้ ผู้โฆษณาสามารถติดตามการขายเป็นผลมาจากคลิก-throughs หลายปี นี้คือการมาตรฐานอุตสาหกรรมและทุกคนประจักษ์ความยินดี ในกลางปี 1990 อัตราคลิกผ่านสำหรับแบนเนอร์โฆษณาบางได้ประมาณ 30% แต่ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นนวัตกรรมของแบนเนอร์โฆษณาได้สวมใส่ออก และ เป็นมากขึ้นความไม่เป็นระเบียบของแบนเนอร์หน้าเว็บไซต์ มีลดลงอย่างมากในอัตราคลิก Aเปิดเผยการศึกษา 2001 ที่คลิกผ่านราคาได้ลดลงเพียง 0.3% (สีเขียวและเอลกิ้น 2001)กำหนดหมายเลขเหล่านี้แค่ ไม่น่าแปลกใจที่นักวิจัยแนะวิธีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของโฆษณาแบนเนอร์ในอินสแตนซ์เดียว พบว่าลดลงจำนวนแบนเนอร์โฆษณาบนเว็บเพจเพิ่มคลิกผ่านอัตราของผู้ที่ยังคงอยู่ (Klaassen2009) . โรบินสันและ Wysocka (2007) ที่ใช้คลิกผ่านข้อมูลเพื่อกำหนดที่ใหญ่แบนเนอร์โฆษณา มีข้อความยาวที่มีแนวโน้มที่จะจะมีประสิทธิภาพสูงสุดวิจัยเพิ่มเติมตรวจสอบญาติประสิทธิภาพของการแสดงโฆษณาต่าง ๆรวมโฆษณาตึกระฟ้า (สูง และผอมโฆษณาทางด้านขวา และด้านซ้ายของเว็บ),หน้าต่างแบบผุดขึ้นและป๊อปใต้โฆษณา (โฆษณาที่ปรากฏเมื่อถูกเปิด และต้องปิดเมื่อต้องการดูเนื้อหาภายใต้),โฆษณาสี่เหลี่ยม และรูปสี่เหลี่ยมที่ปรากฏในส่วนข้อความของเว็บไซต์ และโฆษณาที่จะเลื่อนลอยเนื้อหาของเว็บเพจ หนึ่งการศึกษาพบว่าผู้บริโภคได้มากที่สุดรำคาญ โดยป๊อปอัพและลอยตัวโฆษณา (ไหม้และแลนลุตซ์ 2006)Danaher และ Mullarkey (2003) กล่าวว่า ที่อีกคนสัมผัสกับเว็บหน้า มีแนวโน้มมากขึ้นพวกเขาจะจำโฆษณา พวกเขายังพบว่าแรงจูงใจผู้บริโภคสำหรับการเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่มีผลกระทบ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ชนิดแรกของการวัดที่ใช้ในการกำหนดข้อมูลเหล่านี้เป็นพฤติกรรมหนึ่งที่"คลิกผ่าน" ที่วัดจำนวนครั้งที่ผู้เข้าชมคลิกที่โฆษณาแบนเนอร์ในเว็บไซต์ นอกจากนี้ผู้โฆษณาสามารถติดตามวิธีการขายจำนวนมากเป็นผลมาจากการคลิก เป็นเวลาหลายปีนี้เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมและทุกคนดูเหมือนความยินดี ในช่วงกลางปี ​​1990 อัตราการคลิกผ่านสำหรับโฆษณาแบนเนอร์บางคนประมาณ30% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นความแปลกใหม่ของแบนเนอร์โฆษณาได้สวมใส่ออกและเป็นมากขึ้นป้ายหน้าเว็บไซต์ถ่วงได้มีการลดลงอย่างมากในอัตราการคลิกผ่าน 2001 การศึกษาพบว่าการคลิกผ่านอัตราได้ลดลงเพียง0.3% (Green & เอลจิน, 2001). ได้รับหมายเลขกลุ้มใจเหล่านี้ก็ไม่น่าแปลกใจที่นักวิจัยมองหาวิธีการที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพของโฆษณาแบนเนอร์. หนึ่งในตัวอย่าง พบว่าการลดจำนวนของโฆษณาแบนเนอร์ในหน้าเว็บอย่างมีนัยสำคัญที่เพิ่มขึ้นการคลิกผ่านอัตราของผู้ที่ยังคงอยู่(Klaassen, 2009) โรบินสันและ Wysocka (2007) ใช้ข้อมูลการคลิกผ่านเพื่อตรวจสอบว่ามีขนาดใหญ่โฆษณาแบนเนอร์ที่มีข้อความอีกต่อไปมีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด. การวิจัยเพิ่มเติมตรวจสอบเทียบประสิทธิภาพของชนิดที่แตกต่างกันของการโฆษณาที่แสดงรวมทั้งโฆษณาตึกระฟ้า(สูงและผอมโฆษณาที่ด้านซ้ายและขวาของเว็บไซต์), ป๊อปอัพและป๊อปภายใต้การโฆษณา (โฆษณาที่ปรากฏเมื่อหน้าเว็บที่มีการเปิดและมีการถูกปิดไปดูเนื้อหาใต้) โฆษณาสี่เหลี่ยมและรูปสี่เหลี่ยมที่ปรากฏภายในส่วนข้อความของเว็บไซต์และโฆษณาที่ปรากฏลอยเลื่อนมากกว่าเนื้อหาของหน้าเว็บ การศึกษาพบว่าผู้บริโภครำคาญมากที่สุดโดยป๊อปอัพและโฆษณาลอย(เบิร์นส์และ Lutz, 2006). Danaher และ Mullarkey (2003) ตั้งข้อสังเกตว่าอีกต่อไปคนที่จะสัมผัสกับเว็บหน้ามีโอกาสมากขึ้นพวกเขาจะจำการโฆษณา พวกเขายังพบว่าแรงจูงใจของผู้บริโภคที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่มีผลกระทบใน