Red granite sphinx of king Ammeneme

Red granite sphinx of king Ammenemes II, from Tanis, c. 1900 BC.
The massive sphinx of Ammenemes II, one of watchful gaze in the human head, and a latent power in the recumbent lion body. The bodies lack the muscular tension of the Louvre sphinx, and in such details as the hair, ribs, paws and haunches, they show a stylization on the way to becoming a formula. The powerful modelling of the savage faces, howerver, is admirably in harmony with the carving of the lion bodies, and produces a rare integration of the human and animal aspects. It was the style of the sculptures of Ammenemes III, given great authority during the half century of his reign, that set the pattern for royal statuary for much of the remaining middle Kingdom.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

สฟิงซ์หินแกรนิตสีแดงของคิง Ammenemes II จากเดอะทานิสวิ c. 1900 BCสฟิงค์ที่ใหญ่ของ Ammenemes II หนึ่งจับตามองในหัวมนุษย์ และพลังที่แฝงอยู่ในตัวสิงโต recumbent ร่างกายขาดความตึงเครียดกล้ามเนื้อของสฟิงซ์ลูฟร์ และในรายละเอียดเช่นผม ซี่โครง paws และ haunches พวกเขาแสดงเป็น stylization มาจะกลายเป็น สูตร แบบจำลองที่มีประสิทธิภาพของใบหน้าป่าเถื่อน howerver เป็นห้องสอดคล้องกับแกะสลักสิงโตร่าง และสร้างรวมหายากด้านสัตว์ และมนุษย์ ลักษณะของประติมากรรมของ Ammenemes III ให้อำนาจมากในช่วงศตวรรษครึ่งของรัชกาล ที่ตั้งรูปแบบสำหรับรอยัล statuary สำหรับมากของอาณาจักรกลางคงเหลือ ได้

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

สฟิงซ์หินแกรนิตสีแดงของกษัตริย์ Ammenemes ครั้งที่สองจาก Tanis ค 1900 BC
สฟิงซ์ใหญ่ของ Ammenemes ครั้งที่สองซึ่งเป็นหนึ่งในสายตาที่จับตามองอยู่ในหัวของมนุษย์และอำนาจแฝงอยู่ในร่างกายของสิงโตขี้เกียจ ร่างกายขาดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อของสฟิงซ์ลูฟร์และในรายละเอียดเช่นผม, ซี่โครงอุ้งเท้าและสะโพกพวกเขาแสดง stylization ในทางที่จะกลายเป็นสูตร การสร้างแบบจำลองที่มีประสิทธิภาพของใบหน้าดุร้ายบออย่างไรก็ตามเป็นที่น่าชื่นชมในความสามัคคีกับการแกะสลักของร่างกายสิงโตและผลิตรวมที่หายากของมนุษย์และสัตว์ในแง่มุม มันเป็นรูปแบบของประติมากรรมของ Ammenemes III ที่ได้รับอำนาจมากในช่วงครึ่งศตวรรษของรัชกาลที่กำหนดรูปแบบสำหรับรูปปั้นพระมากที่สุดของกลางที่เหลือราชอาณาจักร

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

หินแกรนิตแดงสฟิงซ์ของกษัตริย์ ammenemes II จากทานิส , C . 1900 BC .
สฟิงซ์ขนาดใหญ่ของ ammenemes II , หนึ่งสายตาจ้องมองในศีรษะมนุษย์ และพลังแฝงในร่างสิงโตขี้เกียจ . ร่างกายขาดกล้ามเนื้อที่ตึงของลูฟร์ สฟิงซ์ และในรายละเอียด เช่น เส้นผม กระดูกที่ขา และสะโพก พวกเขาแสดง stylization ในวิธีที่จะกลายเป็นสูตรที่มีประสิทธิภาพการจำลองแบบของใบหน้าโหดเหี้ยมก็ตาม คือชื่นชมในความสามัคคีกับแกะสลักสิงโตร่าง และก่อให้เกิดการบูรณาการที่หายากของลักษณะของมนุษย์และสัตว์ มันเป็นรูปแบบของประติมากรรมของ ammenemes III ได้รับอำนาจในช่วงครึ่งศตวรรษแห่งรัชกาลของพระองค์ ที่ชุดรูปแบบสำหรับรูปปั้นหลวงสำหรับมากของที่เหลืออยู่กลางอาณาจักร