A foam will start to rise and form

A foam will start to rise and form a smooth surface. This is good. If the foam suddenly billows over the side, this is a boil-over (Bad). If it looks like it is going to boil over, either lower the heat or spray the surface with water from a spray bottle. The foam is caused by proteins in the wort that coagulate due to the rolling action of the boil. The wort will continue to foam until the protein clumps get heavy enough to sink back into the pot. You will see particles floating around in the wort. It may look like Egg Drop Soup. This is called the Hot break and may take 5-20 minutes to occur, depending on the amount of protein in your extract. Often the first hop addition triggers a great deal of foaming, especially if hop pellets are used. I recommend waiting until the Hot break occurs before doing your first Hop addition and timing the hour. The extra boiling time won't hurt.

Covering the pot with the lid can help with heat retention and help you achieve your boil, but it can also lead to trouble. Murphy's Law has its own brewing corollary: "If it can boil over, it will boil over." Covering the pot and turning your back on it is the quickest way to achieve a boilover. If you cover the pot, watch it like a hawk.

Once you achieve a boil, only partially cover the pot, if at all. Why? Because in wort there are sulfur compounds that evolve and boil off. If they aren't removed during the boil, the can form dimethyl sulfide which contributes a cooked cabbage or corn-like flavor to the beer. If the cover is left on the pot, or left on such that the condensate from the lid can drip back in, then these flavors will have a much greater chance of showing up in the finished beer.

Did you ever wonder where Murphy's Law came from? Well back at work there was a photocopy of a short article from one of the aerospace trade journals on the wall of my friend's cubicle. It went something like this:

Captain Murphy was part of an engineering team out at Edward's Air Force Base in California. Their team was investigating the effects of high gravity de-accelerations on jet pilots back in the 1950's. One of their tests involved strapping a test pilot into a rocket chair equipped with strain gages and other sensors to help them quantify the effects of high G stopping. The responsibility for the placement of the various sensors was Capt. Murphy's. Well, the test was run (subjecting the pilot to something like 100 G's of deceleration) and he got pretty banged up.

Only after it was over did the team realize that of all the possible combinations of placing those sensors, Murphy had done it in the one configuration that resulted in useless data. They would have to run the test again. Upon realizing this, Murphy stated, "If there are two or more ways of doing something, and one of them can result in catastrophe, someone will do it that way." Upon hearing this the team leader said, "That's Murphy's Law." The next day at the test de-briefing the team leader shortened it to the now famous, "If anything can go wrong, it will." Murphy still likes his version better.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ตัวโฟมจะเริ่มเพิ่มขึ้นและแบบผิวเรียบ ก็ดีนี่ ถ้าโฟมก็ระลอกผ่านด้าน นี่คือการต้มมากกว่า (ไม่ดี) ถ้าดูเหมือนว่ามันจะเดือด ลดความร้อน หรือสเปรย์พื้นผิว ด้วยน้ำจากขวดสเปรย์ โฟมที่เกิดจากโปรตีนใน wort ที่แข็งตัวเนื่องจากการกลิ้งของเดือด Wort จะโฟมจนกระจุกโปรตีนรับหนักจมกลับลงไปในหม้อ คุณจะเห็นอนุภาคที่ลอยรอบใน wort มันอาจดูเหมือนซุปวางไข่ นี้เรียกว่าการหยุดพักร้อน และอาจใช้เวลา 5-20 นาทีจะเกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับปริมาณของโปรตีนในสารสกัดของคุณ มักกระโดดเพิ่มแรกทริกเกอร์จัดการดีของฟอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้เม็ด hop ผมแนะนำให้รอจนกว่าการหยุดพักร้อนที่เกิดขึ้นก่อนทำของคุณนอกจากนี้ Hop แรก และชั่วโมงเวลา เวลาพิเศษเดือดจะไม่เจ็บหม้อพร้อมฝาครอบคลุมสามารถช่วยกักเก็บความร้อน และช่วยให้คุณบรรลุเดือดของคุณ แต่มันสามารถนำไปสู่ปัญหา กฎของเมอร์ฟีได้ corollary ผลิตเบียร์ของตัวเอง: "ถ้ามันสามารถเดือด มันจะเดือดจน" ครอบคลุมหม้อ และการกลับมาของคุณมันเป็นการบรรลุการ boilover ถ้าคุณปิดฝาหม้อ ดูเหมือนเหยี่ยวเมื่อคุณมีแหล่ง เพียงบางส่วนปิดฝาหม้อ ถ้าที่ทั้งหมด ทำไม เนื่องจากใน wort มีสารประกอบกำมะถันที่มีวิวัฒนาการ และต้มปิด ถ้าพวกเขาไม่ได้เอาออกในระหว่างเดือด สามารถฟอร์ม dimethyl ซัลไฟด์ซึ่งก่อให้เกิดการกะหล่ำปลีปรุงสุกหรือรสข้าวโพดเหมือนกับเบียร์ ถ้าฝาบนหม้อ หรือด้านซ้ายบนซึ่งคอนเดนเสทจากฝาสามารถหยดใน รสเหล่านี้จะมีโอกาสที่มากขึ้นของในเบียร์เสร็จแล้วคุณเคยสงสัยว่า กฎของเมอร์ฟีมาจากไหน สำเนาบทความสั้น ๆ จากหนึ่งในสมุดรายวันการค้าอากาศยานบนผนังของห้องเล็ก ๆ ของเพื่อนได้อย่างดีที่ทำงาน มันก็เหมือน:เมอร์ฟี่กัปตันเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานวิศวกรรมออกที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ดในแคลิฟอร์เนีย ทีมของพวกเขาถูกตรวจสอบผลกระทบของแรงโน้มถ่วงสูงเร่งยกเลิกจากนักบิน jet กลับในปี 1950 การทดสอบของพวกเขาเกี่ยวข้องกับนักบินทดสอบของสายรัดเป็นเก้าอี้จรวดพร้อมสายพันธุ์ gages และเซนเซอร์อื่น ๆ เพื่อช่วยในการกำหนดปริมาณผลกระทบของการหยุด G สูง ความรับผิดชอบสำหรับการวางตำแหน่งของเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ถูก Capt. เมอร์ฟี่ ดี การทดสอบรัน (เรื่องนักบินให้เหมือน 100 G's ของชะลอตัว) และเขาได้สวยกระแทกขึ้นเท่านั้นหลังจากที่มันผ่านได้ทีมตระหนักว่าของที่ผสมวางเซ็นเซอร์เหล่านั้น เมอร์ฟี่ได้ทำมันในการกำหนดค่าหนึ่งที่ทำให้เกิดข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ พวกเขาจะต้องรันการทดสอบอีกครั้ง เมื่อตระหนักถึงนี้ ระบุเมอร์ฟี "ถ้ามี สองวิธีการทำสิ่ง และหนึ่งในนั้นสามารถส่งผลให้ภัยพิบัติ คนจะทำแบบนี้" เมื่อได้ยินนี้ทีม ผู้นำกล่าวว่า "นั่นคือกฎของเมอร์ฟีนั้น" วันที่ทดสอบยกเลิกประชุมหัวหน้าทีมสั้นมันเพื่อที่ตอนนี้มีชื่อเสียง "ถ้าอะไรที่สามารถไปผิด มันจะ" เมอร์ฟี่ยังคงชอบรุ่นเขาดีกว่า

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

โฟมจะเริ่มเพิ่มขึ้นและรูปแบบพื้นผิวเรียบ ดีจัง. หากโฟมก็คลื่นมากกว่าด้านนี้เป็นต้มมากกว่า (แย่) หากดูเหมือนว่ามันเป็นไปต้มมากกว่าทั้งลดความร้อนหรือสเปรย์ผิวด้วยน้ำจากขวดสเปรย์ โฟมที่เกิดจากโปรตีนในสาโทที่แข็งตัวเนื่องจากการดำเนินการกลิ้งของต้ม สาโทจะยังคงกระจุกจนโฟมโปรตีนได้รับหนักพอที่จะจมกลับลงในหม้อ คุณจะเห็นอนุภาคลอยรอบในสาโท มันอาจจะมีลักษณะเหมือนไข่วางซุป นี้เรียกว่าการหยุดพักร้อนและอาจใช้เวลา 5-20 นาทีจะเกิดขึ้นขึ้นอยู่กับปริมาณของโปรตีนในสารสกัดของคุณ บ่อยครั้งนอกจากนี้ฮอปเป็นครั้งแรกเป็นต้นเหตุของการจัดการที่ดีของการเกิดฟองโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า Hop เม็ดถูกนำมาใช้ ผมขอแนะนำให้รอจนกว่าจะมีการหยุดพักร้อนที่เกิดขึ้นก่อนที่จะทำนอกเหนือจากการฟ้อนรำครั้งแรกของคุณและระยะเวลาชั่วโมง เวลาเดือดพิเศษจะไม่ทำร้าย. ครอบคลุมหม้อมีฝาปิดสามารถช่วยให้มีการเก็บรักษาความร้อนและช่วยให้คุณบรรลุต้มของคุณ แต่ก็ยังสามารถนำไปสู่ปัญหา กฎของเมอร์ฟีมีข้อพิสูจน์เบียร์ของตัวเอง: "ถ้ามันสามารถต้มมากกว่าก็จะเดือดกว่า." ครอบคลุมหม้อและหันหลังให้กับมันเป็นวิธีที่เร็วที่สุดเพื่อให้บรรลุ boilover หากคุณครอบคลุมหม้อดูมันเหมือนเหยี่ยว. เมื่อคุณบรรลุต้มเพียงบางส่วนครอบคลุมหม้อถ้าที่ทั้งหมด ทำไม? เพราะในสาโทมีสารประกอบกำมะถันที่มีวิวัฒนาการและต้มออก ถ้าพวกเขาจะไม่ถูกลบในระหว่างการต้มที่สามารถสร้างซัลไฟด์ dimethyl ซึ่งก่อกะหล่ำปลีหรือข้าวโพดเหมือนรสชาติปรุงสุกไปยังเบียร์ หากฝาครอบที่เหลืออยู่ในหม้อหรือซ้ายบนเช่นว่าคอนเดนเสทจากฝาสามารถหยดกลับมาแล้วรสชาติเหล่านี้จะมีโอกาสมากขึ้นในการแสดงขึ้นมาในเบียร์สำเร็จรูป. คุณเคยสงสัยที่กฎหมายเมอร์ฟี่มาจาก ? ดีกลับมาทำงานมีสำเนาบทความสั้น ๆ จากหนึ่งในวารสารการค้าการบินและอวกาศบนผนังของกุฏิเพื่อนของฉัน มันไปบางอย่างเช่นนี้กัปตันเมอร์ฟี่เป็นส่วนหนึ่งของทีมวิศวกรออกที่เอ็ดเวิร์ดฐานทัพอากาศในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทีมของพวกเขาได้รับการตรวจสอบผลกระทบของแรงโน้มถ่วงสูง de-ความเร่งนักบินเจ็ทกลับไปในปี 1950 หนึ่งของการทดสอบของพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับรัดนักบินทดสอบจรวดลงบนเก้าอี้พร้อมกับกาจความเครียดและเซ็นเซอร์อื่น ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาปริมาณผลกระทบของการหยุด G สูง ความรับผิดชอบในการจัดตำแหน่งของเซ็นเซอร์ต่างๆที่ถูกร. เมอร์ฟี่ ดีทดสอบวิ่ง (หนอนบ่อนไส้นักบินเพื่อสิ่งที่ต้องการ 100 กรัมของการชะลอตัว) และเขาได้กระแทกสวยขึ้น. แต่หลังจากที่มันถูกกว่าไม่ทีมรู้ว่าของทุกชุดเป็นไปได้ของการวางเซ็นเซอร์เหล่านั้นเมอร์ฟี่เคยทำไว้ใน การกำหนดค่าหนึ่งที่ส่งผลให้ข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ พวกเขาจะต้องเรียกใช้การทดสอบอีกครั้ง เมื่อตระหนักนี้เมอร์ฟี่กล่าวว่า "ถ้ามีสองคนหรือมากกว่าวิธีการทำบางสิ่งบางอย่างและหนึ่งในนั้นอาจส่งผลให้เกิดภัยพิบัติคนที่จะทำแบบนั้น." เมื่อได้ยินผู้นำทีมกล่าวว่า "นั่นเป็นกฎของเมอร์ฟี". วันถัดไปที่การทดสอบ de-บรรยายสรุปหัวหน้าทีมสั้นลงไปยังที่มีชื่อเสียงตอนนี้ "ถ้ามีอะไรสามารถไปผิดก็จะ." เมอร์ฟี่ยังคงชอบรุ่นของเขาดีกว่า