In contrast, tagging is a very tran

In contrast, tagging is a very transparent process to Facebook, and as a result, they are better able to assess their privacy concerns and act accordingly. Our participants have fairly accurate mental models of how their information is shared through tagging with friends, and thus their level of privacy concern is a significant factor in how they engage with friends in this manner, not the effectiveness of Facebook’s privacy policy. Instead of placing the onus on Facebook’s
privacy policy to protect them from potential privacy breaches from tagging, our participants seemed to understand that their friends were responsible for confidant disclosures made through tagging. We believe that the theory of contextual integrity (Nissenbaum, 2004) helps explain the perceived privacy differences between engaging with friends through apps and tagging. When the flow of information between sender and recipient is not transparent, such as the case with apps, then contextual integrity of the information flow is compromised because the context by which information is gathered and disseminated is not clear to the individual (Nissenbaum, 2004). Therefore, in this case, SNS users may attribute privacy breaches to the SNS instead of to their friends. However, because tagging is transparent and directly tied to the responsible party, Facebook users can attribute confidant disclosure decisions directly to the individual who co-owns that tagged information.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในทางตรงกันข้าม ติดป้ายเป็นกระบวนการโปร่งใสมากที่ Facebook และเป็นผล พวกเขาจะสามารถใช้ประเมินความกังวลความเป็นส่วนตัวของพวกเขา และดำเนินตาม ร่วมมีแบบจำลองจิตถูกต้องเป็นธรรมของวิธีการใช้ร่วมกันข้อมูลโดยติดป้ายกับเพื่อน และดังนั้น ระดับของความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องเป็นปัจจัยหลักในว่าพวกเขามีส่วนร่วมกับเพื่อนในลักษณะนี้ ประสิทธิผลของนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook ไม่ แทนที่จะวางไขข้อใน Facebook ของแต่นโยบายเพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวที่อาจเกิดขึ้นจากการติดป้าย ร่วมดูเหมือนจะ เข้าใจว่า เพื่อนของพวกเขาถูกเปิดเผย confidant ที่ผ่านการติดป้าย เราเชื่อว่าทฤษฎีความสอดคล้องของบริบท (Nissenbaum, 2004) ช่วยอธิบายความแตกต่างรับรู้ความเป็นส่วนตัวมีเพื่อนผ่าน apps และติดป้าย เมื่อการไหลของข้อมูลระหว่างผู้ส่งและผู้รับไม่โปร่งใส เช่นในกรณีของปพลิเคชัน แล้วความสอดคล้องของบริบทของกระแสข้อมูลถูกโจมตีเนื่องจากบริบทซึ่งข้อมูลที่รวบรวม และเผยแพร่ไม่ชัดเจนกับบุคคล (Nissenbaum, 2004) ดังนั้น ในกรณีนี้ ผู้ใช้ SNS อาจกำหนดให้ละเมิดความเป็นส่วนตัวกับ SNS แทนเพื่อนของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากติดป้ายโปร่งใส และตรงเกี่ยวพันกับบุคคลรับผิดชอบ Facebook ผู้ใช้ สามารถตัดสินใจเปิดเผย confidant แอตทริบิวต์โดยตรงกับบุคคลที่ร่วมเป็นเจ้าของที่ติดแท็กข้อมูล

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ในทางตรงกันข้ามการติดแท็กเป็นกระบวนการที่โปร่งใสมากไปที่ Facebook และเป็นผลให้พวกเขาจะดีขึ้นสามารถที่จะประเมินความเป็นส่วนตัวของพวกเขาและดำเนินการตาม เข้าร่วมของเรามีรูปแบบที่ถูกต้องเป็นธรรมทางจิตของวิธีการที่ข้อมูลของพวกเขาจะใช้ร่วมกันผ่านการติดแท็กกับเพื่อน ๆ และทำให้ระดับของความห่วงใยความเป็นส่วนตัวเป็นปัจจัยสำคัญในการมีส่วนร่วมวิธีที่พวกเขากับเพื่อน ๆ ในลักษณะนี้ไม่ได้ประสิทธิผลของนโยบายความเป็นส่วนตัวของเฟซบุ๊ก แทนการวางความรับผิดชอบใน Facebook
ของนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อปกป้องพวกเขาจากการละเมิดความเป็นส่วนตัวอาจเกิดขึ้นจากการติดแท็กเข้าร่วมของเราดูเหมือนจะเข้าใจว่าเพื่อนของพวกเขามีความรับผิดชอบสำหรับการเปิดเผยข้อมูลสนิททำผ่านการติดแท็ก เราเชื่อว่าทฤษฎีของความซื่อสัตย์บริบท (Nissenbaum, 2004) ช่วยอธิบายความแตกต่างของความเป็นส่วนตัวระหว่างการรับรู้การมีส่วนร่วมกับเพื่อนผ่านแอพพลิเคและการติดแท็ก เมื่อการไหลของข้อมูลระหว่างผู้ส่งและผู้รับไม่โปร่งใสเช่นกรณีที่มีแอพพลิเคแล้วความสมบูรณ์ตามบริบทของการไหลของข้อมูลที่ถูกบุกรุกเพราะบริบทโดยที่ข้อมูลจะถูกรวบรวมและเผยแพร่ไม่ชัดเจนกับบุคคล (Nissenbaum, 2004) . ดังนั้นในกรณีนี้ผู้ใช้ SNS อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของแอตทริบิวต์กับ SNS แทนที่จะเป็นเพื่อนของพวกเขา แต่เนื่องจากการติดแท็กมีความโปร่งใสและการเชื่อมโยงโดยตรงกับบุคคลที่มีความรับผิดชอบผู้ใช้ Facebook สามารถแอตทริบิวต์การตัดสินใจเปิดเผยสนิทโดยตรงกับบุคคลที่ร่วมเป็นเจ้าของว่าข้อมูลที่ติดแท็ก

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ในทางตรงกันข้าม , การติดแท็กคือกระบวนการที่โปร่งใสมากไปยัง Facebook และเป็นผลให้พวกเขาจะดีขึ้นสามารถประเมินความเป็นส่วนตัวของพวกเขา และทำตามนั้น เข้าร่วมของเรามีจิตใจแบบถูกต้องว่าข้อมูลของพวกเขาร่วมกันผ่านให้กับเพื่อน และทำให้ระดับของความกังวลส่วนบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญในวิธีการที่พวกเขาต่อสู้กับเพื่อนในลักษณะนี้ไม่มีประสิทธิผลของนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook . แทนที่จะวางความรับผิดชอบในนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook
เพื่อปกป้องพวกเขาจากการละเมิดความเป็นส่วนตัวจากศักยภาพให้ผู้เข้าร่วมของเราดูเหมือนจะเข้าใจ ว่าเพื่อนของพวกเขามีความรับผิดชอบของการเปิดเผยข้อมูลผ่านการติดแท็ก เราเชื่อว่า ทฤษฎีของความสมบูรณ์ ( nissenbaum บริบท ,2004 ) ช่วยอธิบายการรับรู้ความแตกต่างระหว่างความเป็นส่วนตัวกับเพื่อนผ่านการปพลิเคชันและการติดแท็ก เมื่อการไหลของข้อมูลระหว่างผู้ส่งและผู้รับไม่โปร่งใส เช่น กรณีของปพลิเคชัน แล้วความสมบูรณ์ตามบริบทของการไหลของข้อมูลที่ถูกบุกรุก เพราะบริบท ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลและเผยแพร่ไม่ชัดเจน ( nissenbaum บุคคล ,2004 ) ดังนั้นในกรณีนี้ผู้ใช้ SNS อาจคุณลักษณะการละเมิดความเป็นส่วนตัวกับ SNS แทนเพื่อนของตน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากให้มีความโปร่งใส และผูกตรงพรรครับผิดชอบ ผู้ใช้ Facebook สามารถแอตทริบิวต์การเปิดเผยของการตัดสินใจโดยบุคคลที่ร่วมเป็นเจ้าของแท็กข้อมูล .