เทศกาลปาส้ม (Ivrea Orange Festival)

เทศกาลปาส้ม (Ivrea Orange Festival)
จัดขึ้นทุกเดือนกุมภาพันธ์ กำเนิดขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อน จากการที่ชาวเมืองอิตาลีลุกขึ้นต่อต้านผู้ปกครองนครในขณะนั้น โดยการจับมาตัดศีรษะ ส่วนองครักษ์ทั้งหลายก็ถูกขว้างก้อนหินใส่จนเสียชีวิ ต แต่ปัจจุบัน เทศกาลนี้หันมาใช้ส้มเป็นสัญลักษณ์แทนก้อนหิน เพื่อบรรเทาปัญหาผลผลิตส้มล้นตลาด
เทศกาลปาส้มเป็นเทศกาลต่อสู้ด้วยผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีซึ่งจัด ขึ้นที่เมืองอีเวเรีย แคว้นพีดมอนต์ ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ในงานเทศกาลนี้จะประกอบไปด้วยผู้คนที่เข้ามาร่วมงานกว่า 3,000 คน จะมีผู้บังคับม้าให้ลากรถเกวียนที่บรรทุกกลุ่มอาสาสมัครใส่ชุดนวมและหมวก ป้องกันเข้ามาอยู่กลางเมือง หลังจากนี้ไปก็เกิดการปาส้มระหว่างคนบนรถเกวียนกับคนที่ยืนอยู่ด้านล่างกัน อย่างอลหม่าน
เทศกาลนี้มีที่มาจากการที่ชาวเมืองทำการต่อต้านท่านเคาท์ราเนรีผู้ปกครอง เมืองในช่วงราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 ที่มักข่มเหงชาวเมืองด้วยการลักพาตัวหญิงสาวสามัญชน ที่กำลังจะแต่งงานให้ไปเป็นภรรยาของตนเอง จนกระทั่งวันหนึ่งท่านเคาท์ราเนรีได้ไปลักพาตัว ไวโอเล็ตต้า ลูกสาวเจ้าของโรงโม่ข้าวไป ด้วยความกล้าหาญของไวโอเล็ตต้า เธอจึงต่อสู้และสามารถตัดหัวของท่านเคาท์นำมาประจาน ทำให้ชาวเมืองต่างยินดี แต่เมื่อทหารทราบข่าวจึงรีบไปจับตัวไวโอเล็ตต้า ทำให้ชาวเมืองต่างช่วยกันปาหินใส่ทหารเหล่านั้น
จนกระทั่งเหตุการดังกล่าวกลายมาเป็นประเพณีที่ต้องทำกันทุกๆปี เพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญของไวโอเล็ตต้าที่ได้นำอิสรภาพมาสู่ชาวเมือง โดยในแต่ละปีก่อนถึงงานเทศกาล จะมีการคัดเลือกเด็กนักเรียนเพื่อให้มารับบทเป็นไวโอเล็ตต้า และมีการจัดหาอาสาสมัครให้ขึ้นไปบนรถเกวียนเพื่อเป็นตัวแทนทหารท่านเคาท์

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เทศกาลปาส้ม (เทศกาล Ivrea Orange) จัดขึ้นทุกเดือนกุมภาพันธ์กำเนิดขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อนจากการที่ชาวเมืองอิตาลีลุกขึ้นต่อต้านผู้ปกครองนครในขณะนั้นโดยการจับมาตัดศีรษะส่วนองครักษ์ทั้งหลายก็ถูกขว้างก้อนหินใส่จนเสียชีวิตแต่ปัจจุบันเทศกาลนี้หันมาใช้ส้มเป็นสัญลักษณ์แทนก้อนหินเพื่อบรรเทาปัญหาผลผลิตส้มล้นตลาด เทศกาลปาส้มเป็นเทศกาลต่อสู้ด้วยผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีซึ่งจัดขึ้นที่เมืองอีเวเรียแคว้นพีดมอนต์ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีในงานเทศกาลนี้จะประกอบไปด้วยผู้คนที่เข้ามาร่วมงานกว่า 3000 คนจะมีผู้บังคับม้าให้ลากรถเกวียนที่บรรทุกกลุ่มอาสาสมัครใส่ชุดนวมและหมวกป้องกันเข้ามาอยู่กลางเมืองหลังจากนี้ไปก็เกิดการปาส้มระหว่างคนบนรถเกวียนกับคนที่ยืนอยู่ด้านล่างกันอย่างอลหม่าน เทศกาลนี้มีที่มาจากการที่ชาวเมืองทำการต่อต้านท่านเคาท์ราเนรีผู้ปกครองเมืองในช่วงราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 ที่มักข่มเหงชาวเมืองด้วยการลักพาตัวหญิงสาวสามัญชนที่กำลังจะแต่งงานให้ไปเป็นภรรยาของตนเองจนกระทั่งวันหนึ่งท่านเคาท์ราเนรีได้ไปลักพาตัวไวโอเล็ตต้าลูกสาวเจ้าของโรงโม่ข้าวไปด้วยความกล้าหาญของไวโอเล็ตต้าเธอจึงต่อสู้และสามารถตัดหัวของท่านเคาท์นำมาประจานทำให้ชาวเมืองต่างยินดีแต่เมื่อทหารทราบข่าวจึงรีบไปจับตัวไวโอเล็ตต้าทำให้ชาวเมืองต่างช่วยกันปาหินใส่ทหารเหล่านั้น จนกระทั่งเหตุการดังกล่าวกลายมาเป็นประเพณีที่ต้องทำกันทุกๆปีเพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญของไวโอเล็ตต้าที่ได้นำอิสรภาพมาสู่ชาวเมืองโดยในแต่ละปีก่อนถึงงานเทศกาลจะมีการคัดเลือกเด็กนักเรียนเพื่อให้มารับบทเป็นไวโอเล็ตต้าและมีการจัดหาอาสาสมัครให้ขึ้นไปบนรถเกวียนเพื่อเป็นตัวแทนทหารท่านเคาท์

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เทศกาลปาส้ม (ส้ม Ivrea เทศกาล)
จัดขึ้นทุกเดือนกุมภาพันธ์กำเนิดขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อน โดยการจับมาตัดศีรษะ ต แต่ปัจจุบัน
ขึ้นที่เมืองอีเวเรียแคว้นพีดมอนต์ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี 3,000 คน ป้องกันเข้ามาอยู่กลางเมือง
เมืองในช่วงราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 ไวโอเล็ตต้าลูกสาวเจ้าของโรงโม่ข้าวไปด้วยความกล้าหาญของไวโอเล็ตต้า ทำให้ชาวเมืองต่างยินดี
โดยในแต่ละปีก่อนถึงงานเทศกาล

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เทศกาลปาส้ม ( เทศกาลปาส้ม )
จัดขึ้นทุกเดือนกุมภาพันธ์กำเนิดขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อนจากการที่ชาวเมืองอิตาลีลุกขึ้นต่อต้านผู้ปกครองนครในขณะนั้นโดยการจับมาตัดศีรษะส่วนองครักษ์ทั้งหลายก็ถูกขว้างก้อนหินใส่จนเสียชีวิตแต่ปัจจุบันเพื่อบรรเทาปัญหาผลผลิตส้มล้นตลาด
เทศกาลปาส้มเป็นเทศกาลต่อสู้ด้วยผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีซึ่งจัดขึ้นที่เมืองอีเวเรียแคว้นพีดมอนต์ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีในงานเทศกาลนี้จะประกอบไปด้วยผู้คนที่เข้ามาร่วมงานกว่า 3000 คนจะมีผู้บังคับม้าให้ลากรถเกวียนที่บรรทุกกลุ่มอาสาสมัครใส่ชุดนวมและหมวกป้องกันเข้ามาอยู่กลางเมืองหลังจากนี้ไปก็เกิดการปาส้มระหว่างคนบนรถเกวียนกับคนที่ยืนอยู่ด้านล่างกันอย่างอลหม่าน
เทศกาลนี้มีที่มาจากการที่ชาวเมืองทำการต่อต้านท่านเคาท์ราเนรีผู้ปกครองเมืองในช่วงราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 ที่มักข่มเหงชาวเมืองด้วยการลักพาตัวหญิงสาวสามัญชนที่กำลังจะแต่งงานให้ไปเป็นภรรยาของตนเองไวโอเล็ตต้าลูกสาวเจ้าของโรงโม่ข้าวไปด้วยความกล้าหาญของไวโอเล็ตต้าเธอจึงต่อสู้และสามารถตัดหัวของท่านเคาท์นำมาประจานทำให้ชาวเมืองต่างยินดีแต่เมื่อทหารทราบข่าวจึงรีบไปจับตัวไวโอเล็ตต้าจนกระทั่งเหตุการดังกล่าวกลายมาเป็นประเพณีที่ต้องทำกันทุกๆปีเพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญของไวโอเล็ตต้าที่ได้นำอิสรภาพมาสู่ชาวเมืองโดยในแต่ละปีก่อนถึงงานเทศกาลและมีการจัดหาอาสาสมัครให้ขึ้นไปบนรถเกวียนเพื่อเป็นตัวแทนทหารท่านเคาท์