วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปี วันมาฆบูชาจึงเป็นวันที่สำคัญมากวันหนึ่งของพระพุทธศาสนา
ความเป็นมาของวันมาฆบูชา
เหตุที่พุทธศาสนิกชนถือว่า "วันมาฆบูชา" เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะมีเหตุการณ์พิเศษที่มาบรรจบกัน 4 ประการ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า "จาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นประดุจการปฐมนิเทศในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่โลกต้องจารึก เพราะเป็นการประชุมของผู้บริสุทธิ์ล้วนๆ และเป็นครั้งแรกที่มีการประขุมเพื่อรับฟังทิศทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
เหตุอัศจรรย์ในวันมาฆบูชา 4 ประการ
1. เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันเพ็ญเดือน 3 )
2. พระภิกษุ 1,250 รูป มาประชุมโดยมิได้นัดหมาย
3.ภิกษุ เหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 ทั้งหมด ไม่มีภิกษุผู้เป็นปุถุชนหรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีแม้สักรูปเดียวมาประชุมในครั้งนี้
4.พระภิกษุทั้งหมดเป็นผู้ที่ได้รับการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ซึ่งพระบรมศาสดาทรงประทานการบวชให้
มีใครบ้างมาเข้าร่วมประชุม
พระอรหันต์จำนวน 1,250 รูป ที่เข้าร่วมสันนิบาตในครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ
กลุ่มที่ 1 คณะพระภิกษุอดีตชฏิล 3 พี่น้อง มีท่านอุรุเวลกัสสปะเป็นหัวหน้า และบริวารทั้งหมด 1,000 รูป
กลุ่มที่ 2 คณะที่เป็นบริวารของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ มีจำนวน 250 รูป
การที่มีพระภิกษุจำนวนถึง 1,250 รูปมาเป็นองค์ประชุมสันนิบาตในครั้งนี้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการปักหลักพระพุทธศาสนา โดยเริ่มจากแคว้นมคธ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ เพราะเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดในอินเดียสมัยก่อน เป็นแหล่งรวมความเจริญในทุกด้าน และมีเจ้าลัทธิต่างๆ แข่งขันกันเรียกความศรัทธา ความเชื่อ จากประชาชนอยู่มากมาย การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงต้องทำอย่างเต็มที่โดยอาศัยกำลังจากภิกษุผู้เป็นคน ท้องถิ่นของแคว้นนี้เป็นหลักก่อน ซึ่งภิกษุทั้ง 2 คณะนี้มีคุณสมบัติที่เหมาะสม คือแรกเริ่มเดิมทีก็เคยเป็นนักบวชอาศัยในเมืองนี้อยู่แล้ว การแนะนำสั่งสอนพระสัทธรรมอันบริสุทธิ์แก่ชาวชมพูทวีปจึง เป็นไปได้ง่าย การมาชุมนุมกันของพระอรหันตสาวกในครั้งนี้นั้น ถือว่าเป็นมหาสาวกสันนิบาตที่ต้องเร่งทำให้เร็วที่สุด คล้ายๆ จะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในพระทัยของพระพุทธองค์มาตั้งแต่ครั้งยังทรงเริ่มประกาศ ปฐมเทศนา เพียงแต่กำลังทรงรอคอยบุคคลผู้หนึ่ง ผู้ที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์ของกองทัพธรรมอยู่ นั่นก็คือ พระสารีบุตร ซึ่งเมื่อท่านได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว ถือได้ว่าพระธรรมเสนาบดีได้บังเกิดขึ้น ดุจขุนพลแก้วบังเกิดแล้วแก่พระเจ้าจักรพรรดิ โดยท่านจะมาเป็นหัวเรือใหญ่รับสนองนโยบายภารกิจนี้โดยตรง เมื่อการรอคอยของพุทธองค์บรรลุผล จึงทรงทำการประชุมสาวกสันนิบาตทันทีในวันเดียวกันนั้นเอง โดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า เพราะทรงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่กองทัพธรรมจะต้องเร่งรุดขยายให้ได้กว้างไกล ที่สุด ฉะนั้นจำต้องมียุทธศาสตร์ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงได้ทรงประทาน "โอวาทปาฏิโมกข์" เพื่อไว้ใช้เป็นแม่บทในการประกาศพระศาสนา
การประชุมมหาสาวกสันนิบาตนั้น ในยุคของพระพุทธเจ้าบาง พระองค์ มีการประชุมมากกว่า 1 ครั้ง ดังเช่น ในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้าได้ทรงประชุมสาวกสันนิบาตถึง 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 มีพระอรหันตสาวก 100,000 โกฏิ ครั้งที่ 2 มีจำนวน 90,000 โกฏิ ครั้งที่ 3 มีจำนวน 80,000 โกฏิ แต่ละครั้งก็จะทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งมีเนื้อหาสาระเหมือนที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประทานเอาไว้ทุกอย่าง
วันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปี วันมาฆบูชาจึงเป็นวันที่สำคัญมากวันหนึ่งของพระพุทธศาสนา
ความเป็นมาของวันมาฆบูชา
เหตุที่พุทธศาสนิกชนถือว่า "วันมาฆบูชา" เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะมีเหตุการณ์พิเศษที่มาบรรจบกัน 4 ประการหรือที่เรารู้จักกันดีว่า "จาตุรงคสันนิบาต"ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่โลกต้องจารึก เพราะเป็นการประชุมของผู้บริสุทธิ์ล้วนๆ และเป็นครั้งแรกที่มีการประขุมเพื่อรับฟังทิศทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
เหตุอัศจรรย์ในวันมาฆบูชา 4 ประการ
1 เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันเพ็ญเดือน 3)
2 พระภิกษุ 1,250 รูปมาประชุมโดยมิได้นัดหมาย
3พระภิกษุทั้งหมดเป็นผู้ที่ได้รับการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ซึ่งพระบรมศาสดาทรงประทานการบวชให้
มีใครบ้างมาเข้าร่วมประชุม
พระอรหันต์จำนวน 1,250 รูปที่เข้าร่วมสันนิบาตในครั้งนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มด้วยกันคือ
กลุ่มที่ 1 คณะพระภิกษุอดีตชฏิล 3 พี่น้องมีท่านอุรุเวลกัสสปะเป็นหัวหน้าและบริวารทั้งหมด 1,000 รูป
กลุ่มที่ 2 คณะที่เป็นบริวารของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมี จำนวน 250 รูป
การที่มีพระภิกษุจำนวนถึง 1250 รูปมาเป็นองค์ประชุมสันนิบาตในครั้งนี้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการปักหลักพระพุทธศาสนา โดยเริ่มจากแคว้นมคธซึ่งเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ เพราะเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดในอินเดียสมัยก่อนและมีเจ้าลัทธิต่างๆแข่งขันกันเรียกความศรัทธาความเชื่อจากประชาชนอยู่มากมาย การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงต้องทำอย่างเต็มที่โดยอาศัยกำลังจากภิกษุผู้เป็นคน ท้องถิ่นของแคว้นนี้เป็นหลักก่อนซึ่งภิกษุทั้ง 2คล้าย ๆ จะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในพระทัยของพระพุทธองค์มาตั้งแต่ครั้งยังทรงเริ่มประกาศ ปฐมเทศนา เพียงแต่กำลังทรงรอคอยบุคคลผู้หนึ่ง ผู้ที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์ของกองทัพธรรมอยู่ นั่นก็คือพระสารีบุตร
การประชุมมหาสาวกสันนิบาตนั้นในยุคของพระพุทธเจ้าบางพระองค์มีการประชุมมากกว่า 1 ครั้งดังเช่น ในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้าได้ทรงประชุมสาวกสันนิบาตถึง 3 ครั้งครั้งที่ 1 มีพระอรหันตสาวก 100000 โกฏิ 2 ครั้งที่มีจำนวน 90,000 โกฏิครั้งที่ 3 มีจำนวน 80,000 โกฏิ แต่ละครั้งก็จะทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งมีเนื้อหาสาระเหมือนที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประทานเอาไว้ทุกอย่าง
การแปล กรุณารอสักครู่..
วันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาด้วยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 , 500 กว่าปีวันมาฆบูชาจึงเป็นวันที่สำคัญมากวันหนึ่งของความเป็นมาของวันมาฆบูชา
เหตุที่พุทธศาสนิกชนถือว่า"วันมาฆบูชา"เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาเพราะมีเหตุการณ์พิเศษที่มาบรรจบกัน 4 ประการหรือที่เรารู้จักกันดีว่า"จาตุรงคสันนิบาต"ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่โลกต้อเพราะเป็นการประชุมของผู้บริสุทธิ์ล้วนๆและเป็นครั้งแรกที่มีการประขุมเพื่อรับฟังทิเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ตามมาตรฐาน
เหตุอัศจรรย์ในวันมาฆบูชา 4 ประการ
1 . เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์(วันเพ็ญเดือน 3 )
2 . พระภิกษุ รูป 1,250 มาประชุมโดยมิได้นัดหมาย
3 .ภิกษุ เหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 ทั้งหมด ไม่มีภิกษุผู้เป็นปุถุชนหรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีแม้สักรูปเดียวมาประชุมในครั้งนี้
4พระภิกษุทั้งหมดเป็นผู้ที่ได้รับการบวชแบบเอ ซึ่งพระบรมศาสดาทรงประทานการบวชให้
มีใครบ้างมาเข้าร่วมประชุมพระอรหันต์จำนวน 1,250 รูปที่เข้าร่วมสันนิบาตในครั้งนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มด้วยกันคือ
กลุ่มที่ 1 คณะพระภิกษุอดีตชฏิล 3 พี่น้องมีท่านอุรุเวลกัสสปะเป็นหัวหน้าและบริวารทั้งหมด 1 , 000 รูป
กลุ่มที่ 2 คณะที่เป็นบริวารของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีจำนวน 250 รูป
การที่มีพระภิกษุจำนวนถึง 1 ,250 รูปมาเป็นองค์ประชุมสันนิบาตในครั้งนี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการปักหลักพระพุทธศาโดยเริ่มจากแคว้นมคธซึ่งเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่เพราะเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดในอินเดียสมัยก่อนและมีเจ้าลัทธิต่างๆแข่งขันกันเรียกความศรัทธาความเชื่อจากประชาชนอยู่มากมายการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงต้องทำอย่างเต็มที่ท้องถิ่นของแคว้นนี้เป็นหลักก่อน ซึ่งภิกษุทั้ง 2คือแรกเริ่มเดิมทีก็เคยเป็นนักบวชอาศัยในเมืการแนะนำสั่งสอนพระสัทธรรมอันบริสุทธิ์แก่ชาเป็นไปได้ง่ายการมาชุมนุมกันของพระอรหันตสาวกในครั้งนี้นัคล้ายๆจะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในพระทัยของพระพุทธองค์มปฐมเทศนาเพียงแต่กำลังทรงรอคอยบุคคลผู้หนึ่งผู้ที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์ของกองทัพธรรมนั่นก็คือพระสารีบุตรถือได้ว่าพระธรรมเสนาบดีได้บังเกิดขึ้นดุจขุนพลแก้วบังเกิดแล้วแก่พระเจ้าจักรพรรดิ โดยท่านจะมาเป็นหัวเรือใหญ่รับสนองนโยบายภาร เมื่อการรอคอยของพุทธองค์บรรลุผลโดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าเพราะทรงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่กองทัพธรรมจะตที่สุดฉะนั้นจำต้องมียุทธศาสตร์ที่เป็นหนึ่งเดียวกจึงได้ทรงประทาน"โอวาทปาฏิโมกข์"
การประชุมมหาสาวกสันนิบาตนั้นในยุคของพระพุทธเจ้าบางพระองค์มีการประชุมมากกว่า 1 ครั้ง 3 ครั้งดังเช่นในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้าได้ทรงประชุมสาครั้งที่ 1 มีพระอรหันตสาวก 100 ,000 โกฏิครั้งที่ 2 มีจำนวน 90,000 โกฏิครั้งที่ 3 มีจำนวน 80,000 โกฏิแต่ละครั้งก็จะทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ซึ่งมีเนื้อหาสาระเหมือนที่พระพุทธเจ้าทุกพร
การแปล กรุณารอสักครู่..