-How was it created? ธุรกิจสร้างขึ้นมายังงัย
พงษ์เทพ มุททาหัตถาการ หรือคุณอ้น ผู้ก่อตั้งและเจ้าของธุรกิจเกาลัดคั่วสด เริ่มแรกเขาเริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์หรืออาจเรียกได้ว่าติดลบ ก่อนที่จะเริ่มธุรกิจขายเกาลัดแบรนด์ “ตี๋เฮง” ครอบครัวของเขาต้องประสบกับปัญหาล้มละลายจากธุรกิจของพ่อแม่ที่เกี่ยวประมง ในตอนนั้นปลาในอ่าวไทยมีน้อยมาก หรือแทบจะไม่มี พ่อของเขาเลยตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางจับปลาไปทางทะเลอันดามัน แต่โชคร้ายเมื่อพ่อของเขาถูกพม่าจับและยึดเรือที่ใช้ประกอบอาชีพนี้ไป เมื่อเรือไม่ได้ใช้งานและดอกเบี้ยที่กู้แบงก์ก็ยังคงวิ่งต่อไป หลังจากเรือถูกพม่ายึดคุณแม่ก็ต้องออกมาขายน้ำส้มที่ตลาดนัด มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1000-2000 บาทขึ้นไปถือว่าดี และพอใช้ได้สำหรับการขายในตลาดนัด คุณพงเทพ กล่าวว่าในตอนนั้นตัวเขาเองทำงานเป็นช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ เขาทำงานที่นั่นจนบริษัทปิดตัวลง ซึ่งทำให้เขาต้องตกงาน เขามองเห็นโอกาสที่ตัวเองอาศัยอยู่ในกรุงเทพ ดังนั้นจึงรับน้ำส้มจากแม่มาขายในตลาดนัด สำหรับน้ำส้มคั้นถือว่าขายดี แต่แค่ระยะหนึ่งคู่แข่งเห็นว่าเราขายน้ำส้มคั้นดีจึงเปลี่ยนจากการขายน้ำหลายๆสีมาขายน้ำส้มคั้นบ้าง แต่สำหรับคุณพงษ์เทพต้องเดินทางไปเอาน้ำส้มคั้นจากแม่ ที่คั้นสดจริงๆมาขาย ซึ่งขายในราคาที่สูงกว่าและขายเท่าคู่แข่งไม่ได้ ดังนั้นในที่สุดเขาตัดสินใจเลิก ต่อมามีน้องชายมาแนะนำให้มาขายเกาลัด น้องถามเขาว่าทำได้แต่เหนื่อยเอาไหม คุณพงเทพจึงตอบตกลง เพราะมันก็คงไม่มีอะไรเหนื่อยไปกว่านี้แล้ว โดยน้องที่รู้จักบอกว่า ถ้าอยากทำก็ทำได้เลย แต่ต้องคั่วเอง เหงื่อออกท่วมตัวเลยนะ แต่เขาก็ตอบตกลงในทันที เริ่มแรกการคั่วเกาลัดมันก็จะต้องมีอุปกรณ์ เช่นกระทะ ตะหลิวที่ใช้คั่ว และทราย แต่เขากลับไม่มีอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหากระทะก่อน และขอตะหลิวของแม่ แต่กระทะของแม่ใหญ่ไม่พอ เขาจึงไปขอยืมร้านอาหารซีฟู๊ดที่รู้จัก ในตอนนี้คุณพงเทพไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วกระทะที่ได้มานั้น มันจะใช้คั่วเกาลัดได้หรือไม่ได้ กระทะที่ได้มาทั้งผุและเก่า ส่วนทรายก็ซื้อที่ร้านเกาลัดประจวบเหมาะว่าต้องไปซื้อเกาลัดด้วย กระสอบนึงก็ราคา 4400 บาท คุณพงเทพบอกว่าตอนนั้นเขามีเงินเพียงแค่ 1000 บาท และมีทองอยู่ 1 บาทซึ่งภรรยาของเขาสวมมันอยู่ที่คอ เขาเอาทองเส้นนั้นไปจำนำโดยคิดว่าเดี๋ยวเอามาคืนภรรยาให้ได้และเขาต้องขายให้ได้ มันไม่มีทางเลือกอื่นอีก ในที่สุดตอนนี้คุณพงเทพ สามารถหาอุปกรณ์ได้จนครบแล้วแต่สิ่งที่ยังไม่มีคือวิธีการคั่วแบบไหนที่ทำได้อร่อย แน่นอนเขาไม่รู้ จึงทดลองทำ ซึ่งผลที่ได้คือผิดบ้างถูกบ้าง จริงๆทรายที่ใช้คั่วตอนมาทีแรกจะเป็นสีน้ำตาล เขาก็คิดว่าทำไมมันไม่เป็นสีดำเหมือนคนอื่น จึงลองไปเอากาแฟมาใส่เข้าไป โดยไปขอกากกาแฟจากอาแป๊ะหน้าบ้านมาใส่เพราะในตอนแรกเข้าใจว่าเป็นกาแฟเพราะว่าได้กลิ่นหอมๆ พอคั่วเสร็จ หันซ้ายหันขวาไม่รู้จะเอาอะไรมาใส่ แต่เขาเห็นพัดลมของแม่ก็คิดว่าน่าตะเอาตะแกรงพัดลมมาใช้ได้ ก็ไปถอดตะแกรงพัดลมแม่ออกมาแล้วก็เอาไปร่อน เพื่อที่ทรายมันจะได้ลงไปและเกาลัดจะได้อยู่ในตะแกรง ตอนนี้ตัวเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ และเหนื่อยมาก เกาลัดที่คั่วออกมาครั้งแรกดำสนิทและไม่สวยเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ สาเหตุเพราะเขาทำไม่เป็น และเป็นผลมาจากกระทะผุที่เขาใช้ ประการณ์ขายครั้งแรกคือ วันที่เขาทำครั้งแรกในงาน อาแป๊ะเจ้าของร้านขายเกาลัดบอกเขาว่า ให้คั่วต่อไปจนกว่ามันจะนุ่มแล้วก็ขายได้ สรุปคือมันนุ่มอย่างที่บอกและขายจนหมด เขาจำได้ดีว่ายอดขายครั้งแรกประมาณ 7000 บาท และหักค่าน้ำมันแล้วมีกำไร 2600 วันนั้นเขาคิดว่าตัวเองและครอบครัวมีข้าวกินแล้ว เขาขับรถไปที่เยาวราชและซื้อเกาลัดเพิ่มในทันที วันต่อไปก็ขายอีก ขายจนจบงานครับ พอได้กำไรมา ก็เอาทองคืนภรรยา มีตังผ่อนรถ มีตังจ่ายค่าเช่าบ้านครับ แต่งานที่จัดหมดแล้วก็ต้องหางานใหม่ ก็เลยไปขายที่หัวหินต่อ แต่ทีนี้จะวิ่งจากหัวหินมาซื้อที่กรุงเทพมันก็ลำบาก อาแป๊ะที่เยาวราชก็บอกเขาว่าเดี๋ยวส่งให้ และจะให้ใช้ชื่ออะไรส่งล่ะ ความคิดแรกที่เข้ามาจึงบอกอาแป๊ะว่าให้ใช้ชื่อ “ตี๋เฮง” เพราะคิดว่าลูกที่กำลังจะเกิดมาน่าจะเป็นผู้ชาย ก็อยากให้เขาเป็นผู้ชาย จึงใช้คำง่ายๆว่า “ตี๋เฮง”
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ลูกคลอดออกมาแล้ว เขาต้องขยายสาขาเพิ่มและกลับไปวิ่งขายตามงานเหมือนเดิม หอบหิ้วลูกไปขายเกาลัดตามงาน เดินทางไปทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด โดยวิ่งงานมาแล้ว 3 ปี สรุปคือตอนนี้เขาได้สาขาที่ตั้งตามงาน 60 สาขา ซึ่งในตอนนั้นก็ยังคงซื้อเกาลัดจากเยาวราชมาขาย แล้ววันหนึ่งก็คิดขึ้นมาได้ว่ามันเยอะน่าจะสั่งซื้อเอง เขาใช้ข้อมูล search engine ในการหาแหล่งข้อมูลของเกาลัด ด้วยความไม่รู้ก็สั่งซื้อทันทีและโอนเงินเรียบร้อยในยอดเงิน 700,000 บาทและของถูกส่งมาเรียบร้อย โดยเงิน 700,000 บาทนี้ เขาเอามาจากการรีไฟน์แนนซ์รถที่เกือบจะผ่อนหมดแล้ว และส่วนหนึ่งมาจากการเอาของไปจำนำ พูดตรงๆก็คือทองเส้นเดิม ข้าวของทุกอย่างที่จำนำได้ เงินทุกเม็ดที่จะหาได้ แล้วก็ยืมเงินเพื่อนด้วย ของถูกส่งมาถึงแต่เขาไม่สามารถเอาของออกมาได้ เพราะไม่มีกุญแจทางราชการ หมายถึงไม่มีใบอนุญาตนำเข้าสินค้า ดังนั้นเขาจึงต้องขอใบอนุญาต โดยจะต้องใช้เวลาในการขอ 45 วัน แต่มันเป็นพืชผลของมันรอไม่ได้ มันจึงเสียไปครึ่งตู้ ซึ่งหมายความว่าเงินหายไปแล้ว 350000 บาท สิ่งที่ต้องทำตอนนั้นคือต้องขาย และ ขายให้หมด โดยความคิดที่ว่าซื้อจากต้นทางหรือต้นตอมันดีแต่มันผิด เพราะของไม่ได้เสป็ค คุณภาพต่ำกว่ามาก ลูกค้าเริ่มบ่น เริ่มติ แต่เขาก็ยังคงเอามาขายจากตู้ที่ 1 เป็นตู้ที่ 2 โดยขายไปเรื่อยๆและเรียนรู้กับความไม่พอใจของลูกค้าไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดคุณพงเทพตัดสินใจว่าถ้าเกาลัดยังไม่ดีอีก เขาจะเลิกขายแล้วและหยุดนำเข้า และยอมกลับไปซื้อแพงเหมือนเดิม
จุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ในธุรกิจนี้คือ วันหนึ่งที่ภรรยาของเขาล้างเกาลัด ซึ่งต้องยกเครดิตนี้ให้กับเธอ เธอพบ กระดาษแผ่นสีขาวลอยขึ้นมาจากอ่างน้ำ เธอลองคลื่กระดาษดู มันเป็นภาษาจีนประมาณ 7-8 คำ แต่มีเพียงสองคำที่ชัดและมันเป็นสองตัวที่สำคัญ เป็นสองตัวที่นำมาสู่บริษัทต้นตอของเกาลัดที่แท้จริง โดยคุณพงเทพตอบอีเมลล์ไปในทันที