ทฤษฎีที่มีความสำคัญต่อรัฐประศาสนศาสตร์หรือทำไมนักรัฐประศาสนศาสตร์จึงต้ การแปล - ทฤษฎีที่มีความสำคัญต่อรัฐประศาสนศาสตร์หรือทำไมนักรัฐประศาสนศาสตร์จึงต้ ไทย วิธีการพูด

ทฤษฎีที่มีความสำคัญต่อรัฐประศาสนศาส

ทฤษฎีที่มีความสำคัญต่อรัฐประศาสนศาสตร์หรือทำไมนักรัฐประศาสนศาสตร์จึงต้องให้ความสนใจต่อทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ ทั้งที่ๆ รัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ประยุกต์ เป็นสหวิทยาการ และเป็นศาสตร์กึ่งปฏิบัติ ประเด็นนี้ Frederickson and Smith (2003) กล่าวอย่างชัดเจนว่าจำเป็นที่ต้องให้ความสนใจต่อทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ เพราะการใช้แต่สามัญสำนึก ปัญญา และประสบการณ์ของนักบริหารนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้นักบริหารสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมได้ ขณะเดียวกันทฤษฎีก็จะช่วยสร้างองค์ความรู้ในรัฐประศาสนศาสตร์ให้มีความแข็งแกร่ง แต่ปัญหามีอยู่ว่าทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์กำลังจะพัฒนาไปในทิศทางใดในการสร้างองค์ความรู้ของรัฐประศาสนศาสตร์


เมื่อกล่าวถึงทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ สิ่งที่น่าพิจารณาในการกำหนดทิศทางของทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ก็คือ คำถามที่ว่าทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์มีกี่ประเภท คำตอบของเรื่องนี้ก็คือว่า ทฤษฎีจะมีกี่ประเภทนั้นก็ขึ้นอยู่กับเกณฑ์การนำมาใช้ในการจัดประเภท หรือเกณฑ์ที่นำมาใช้เป็นการแบ่ง เช่น การนำเกณฑ์เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาองค์ความรู้มาใช้ในการจัดประเภทก็จะสามารถแบ่งได้เป็นทฤษฎีเชิงอุปมาน (Deductive Theory) กับทฤษฎีเชิงอนุมาน (Inductive Theory) ถ้าแบ่งตามขนาดของแนวคิดก็อาจแบ่งเป็นทฤษฎีมหภาค เช่น ทฤษฎีด้านทางเลือกสาธารณะ และทฤษฎีจุลภาค เช่น ทฤษฎีองค์การต่างๆ แต่ถ้าแบ่งตามจุดมุ่งหมายของทฤษฎี Stephen K Bailey (1968) ได้จำแนกทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็น 4 ประเภท


1.Descriptive – Explanatory Theory เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการพรรณนาและอธิบายโดย Descriptive Theory เป็นการพรรณนาที่มีตัวแปรตัวเดียว เป็นการพรรณนาลักษณะต่างๆ ของตัวแปรตัวนั้นในมิติต่างๆ ส่วน Explanatory Theoryเป็นการอธิบายที่มีตัวแปร 2 ตัว คือ สามารถระบุได้ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัจจัยอีกปัจจัยหนึ่งตามมา เช่น ความผูกพันต่อองค์การมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานในองค์การ เป็นต้น

2. Assumptive Theory เป็นการกล่าวถึงเงื่อนไขที่เกิดก่อนแล้วนำไปใช้ในการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดตามมา ในลักษณะ if X, then Y เช่นเมื่อเห็นงบโฆษณาขององค์การเพิ่มขึ้น สิ่งที่น่าจะตามมาก็คือการเห็นยอดขายขององค์การเพิ่มขึ้น ดังนั้นทฤษฎีที่อธิบายให้ผู้สนใจมีความเข้าใจในทฤษฏี Descriptive and Explanative มากยิ่งขึ้น


3. Instrumental Theory เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ซึ่งถูกนำมาใช้ในรัฐประศาสนศาสตร์ เนื่องจากรัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ประยุกต์จึงต้องมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ เช่น ทฤษฎีจูงใจ ทฤษฎีภาวะผู้นำ หรือทฤษฎีเกี่ยวกับเทคนิคการบริหารต่างๆ เช่น ทฤษฎีเกี่ยวกับ QC, PMQA หรือ ทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารโดยวัตถุประสงค์


4. Normative Theory เป็นการศึกษาถึงสิ่งที่ควรจะเป็น จึงเป็นเรื่องของการใช้ค่านิยมในการตัดสินใจแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรัฐประศาสนศาสตร์ เพราะรัฐประศาสนศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับผู้บริหารที่จำเป็นจะต้องไปเลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ซึ่งต่างจากทฤษฎีประเภทอื่นๆ ที่กล่าวที่เน้นการให้ความรู้แต่ทฤษฎีทางด้าน normative จะให้ทางเลือกในการตัดสินใจจึงเป็นทฤษฎีที่มีความสำคัญ


อย่างไรก็ตามนักทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่นิยมที่จะแบ่งทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็น 2 ประเภท คือ ทฤษฎีเชิงประจักษ์ (Empirical Theory) และทฤษฏีเชิงปทัสถาน (Normative Theory) (อุทัย เลาหวิเชียร, 2550) โดยทฤษฎีเชิงประจักษ์จะครอบคลุมถึงทฤษฎีการพรรณนาและอธิบาย (Descriptive -Explanatory) ทฤษฎีทำนายตามเงื่อนไขที่เกิดก่อน (Assumptive Theory) และทฤษฏีที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ (Instrumental Theory) ตามแนวคิดของ Stephen K Bailey นั้นเอง ทั้งนี้ โดยทฤษฎีเชิงประจักษ์จะเป็นทฤษฎีและแนวความคิดที่เน้นการสั่งสม องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ (Science) ส่วนทฤษฎีและแนวความคิดเชิงประจักษ์เน้นการอธิบายเชิงปรัชญาและค่านิยม ดังนั้น ทฤษฎีทั้งสองแนวจึงมีการแสวงหาองค์ความรู้และการนำมาประยุกต์ใช้ที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยทฤษฎีและแนวความคิดทั้งสองต่างก็มีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน อนึ่ง จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นทฤษฎีเชิงประจักษ์ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ ทฤษฎีตัวแบบการตลาด หรือทฤษฎีองค์การ ต่างล้วนเป็นทฤษฎีที่เน้นการเพิ่มพูนความรู้แทบทั้งสิ้น
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ทฤษฎีที่มีความสำคัญต่อรัฐประศาสนศาสตร์หรือทำไมนักรัฐประศาสนศาสตร์จึงต้องให้ความสนใจต่อทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ทั้งที่ ๆ รัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ประยุกต์เป็นสหวิทยาการและเป็นศาสตร์กึ่งปฏิบัติประเด็นนี้ Frederickson และ Smith (2003) กล่าวอย่างชัดเจนว่าจำเป็นที่ต้องให้ความสนใจต่อทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์เพราะการใช้แต่สามัญสำนึกปัญญาและประสบการณ์ของนักบริหารนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้นักบริหารสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมได้ขณะเดียวกันทฤษฎีก็จะช่วยสร้างองค์ความรู้ในรัฐประศาสนศาสตร์ให้มีความแข็งแกร่งแต่ปัญหามีอยู่ว่าทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์กำลังจะพัฒนาไปในทิศทางใดในการสร้างองค์ความรู้ของรัฐประศาสนศาสตร์เมื่อกล่าวถึงทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์สิ่งที่น่าพิจารณาในการกำหนดทิศทางของทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ก็คือคำถามที่ว่าทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์มีกี่ประเภทคำตอบของเรื่องนี้ก็คือว่าทฤษฎีจะมีกี่ประเภทนั้นก็ขึ้นอยู่กับเกณฑ์การนำมาใช้ในการจัดประเภทหรือเกณฑ์ที่นำมาใช้เป็นการแบ่งเช่นการนำเกณฑ์เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาองค์ความรู้มาใช้ในการจัดประเภทก็จะสามารถแบ่งได้เป็นทฤษฎีเชิงอุปมาน (นิรนัยทฤษฎี) กับทฤษฎีเชิงอนุมาน (เหนี่ยวนำทฤษฎี) ถ้าแบ่งตามขนาดของแนวคิดก็อาจแบ่งเป็นทฤษฎีมหภาคเช่นทฤษฎีด้านทางเลือกสาธารณะและทฤษฎีจุลภาคเช่นทฤษฎีองค์การต่าง ๆ แต่ถ้าแบ่งตามจุดมุ่งหมายของทฤษฎี Stephen K เบลีย์ (1968) ได้จำแนกทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็น 4 ประเภท1.อธิบาย – อธิบายทฤษฎีเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการพรรณนาและอธิบายโดยอธิบายทฤษฎีเป็นการพรรณนาที่มีตัวแปรตัวเดียวเป็นการพรรณนาลักษณะต่าง ๆ ของตัวแปรตัวนั้นในมิติต่าง ๆ ส่วนเรื่อง Theoryเป็นการอธิบายที่มีตัวแปร 2 ตัวคือสามารถระบุได้ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัจจัยอีกปัจจัยหนึ่งตามมาเช่นความผูกพันต่อองค์การมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานในองค์การเป็นต้น2. assumptive ในลักษณะเป็นการกล่าวถึงเงื่อนไขที่เกิดก่อนแล้วนำไปใช้ในการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดตามมาทฤษฎีถ้ามี แล้ว Y เช่นเมื่อเห็นงบโฆษณาขององค์การเพิ่มขึ้นสิ่งที่น่าจะตามมาก็คือการเห็นยอดขายขององค์การเพิ่มขึ้นดังนั้นทฤษฎีที่อธิบายให้ผู้สนใจมีความเข้าใจในทฤษฏีเชิงบรรยายและ Explanative มากยิ่งขึ้น3 ทฤษฎีที่บรรเลงเป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ซึ่งถูกนำมาใช้ในรัฐประศาสนศาสตร์เนื่องจากรัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ประยุกต์จึงต้องมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์เช่นทฤษฎีจูงใจทฤษฎีภาวะผู้นำหรือทฤษฎีเกี่ยวกับเทคนิคการบริหารต่าง ๆ เช่นทฤษฎีเกี่ยวกับ QC, PMQA หรือทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารโดยวัตถุประสงค์4. กฎเกณฑ์ทฤษฎีเป็นการศึกษาถึงสิ่งที่ควรจะเป็นจึงเป็นเรื่องของการใช้ค่านิยมในการตัดสินใจแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรัฐประศาสนศาสตร์เพราะรัฐประศาสนศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับผู้บริหารที่จำเป็นจะต้องไปเลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ซึ่งต่างจากทฤษฎีประเภทอื่น ๆ ที่กล่าวที่เน้นการให้ความรู้แต่ทฤษฎีทางด้านกฎเกณฑ์จะให้ทางเลือกในการตัดสินใจจึงเป็นทฤษฎีที่มีความสำคัญอย่างไรก็ตามนักทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่นิยมที่จะแบ่งทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็น 2 ประเภทคือและทฤษฏีเชิงปทัสถานทฤษฎีเชิงประจักษ์ (ทฤษฎีเชิงประจักษ์) (ทฤษฎีกฎเกณฑ์) (อุทัยเลาหวิเชียร 2550) โดยทฤษฎีเชิงประจักษ์จะครอบคลุมถึงทฤษฎีการพรรณนาและอธิบาย (อธิบาย - อธิบาย) ตามแนวคิดของและทฤษฏีที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ (บรรเลงทฤษฎี) ทฤษฎีทำนายตามเงื่อนไขที่เกิดก่อน (Assumptive Theory) สตีเฟนเบลีย์ K นั้นเองทั้งนี้โดยทฤษฎีเชิงประจักษ์จะเป็นทฤษฎีและแนวความคิดที่เน้นการสั่งสมองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ (ศาสตร์) ส่วนทฤษฎีและแนวความคิดเชิงประจักษ์เน้นการอธิบายเชิงปรัชญาและค่านิยมดังนั้นทฤษฎีทั้งสองแนวจึงมีการแสวงหาองค์ความรู้และการนำมาประยุกต์ใช้ที่แตกต่างกันอย่างมากโดยทฤษฎีและแนวความคิดทั้งสองต่างก็มีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกันอนึ่งจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นทฤษฎีเชิงประจักษ์ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ทฤษฎีตัวแบบการตลาดหรือทฤษฎีองค์การต่างล้วนเป็นทฤษฎีที่เน้นการเพิ่มพูนความรู้แทบทั้งสิ้น
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
ทฤษฎีที่มีความสำคัญต่อรัฐประศาสนศาสตร์หรือ ทำไมนักรัฐประศาสนศาสตร์จึงต้องให้ความสนใจต่อทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ทั้งที่ ๆ รัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ประยุกต์เป็นสหวิทยาการและเป็นศาสตร์กึ่งปฏิบัติประเด็นนี้ Frederickson และสมิ ธ (2003) กล่าวอย่างชัดเจนว่าจำเป็นที่ต้องให้ ความสนใจต่อทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์เพราะการใช้ แต่สามัญสำนึกปัญญาและประสบการณ์ของนักบริหารนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้นักบริหารสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมได้ขณะเดียวกันทฤษฎีก็จะช่วยสร้างองค์ความรู้ใน รัฐประศาสนศาสตร์ให้มีความสามารถแข็งแกร่ง แต่ปฐมวัยมีขณะนี้ว่าได้ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์กำลังจะพัฒนาไปในห้างหุ้นส่วนจำกัดทิศทางใดในห้างหุ้นส่วนจำกัดหัวเรื่อง: การสร้างองค์ความสามารถรู้ของรัฐประศาสนศาสตร์


เมื่อกล่าวถึงทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์สิ่งที่น่าพิจารณาในห้างหุ้นส่วนจำกัดหัวเรื่อง: การกำหนดทิศทางของทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ก็คือคำถามที่ว่าได้ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ มีกี่ประเภทคำตอบของเรื่องนี้ ก็คือว่าทฤษฎีจะมีกี่ประเภทนั้นก็ขึ้นอยู่กับเกณฑ์การนำมาใช้ในการจัดประเภทหรือเกณฑ์ที่นำมาใช้เป็นการแบ่งเช่นการนำเกณฑ์เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาองค์ความรู้มาใช้ ในการจัดประเภทก็จะสามารถแบ่ง ได้เป็นทฤษฎีเชิงอุปมาน (ทฤษฎีนิรนัย) กับทฤษฎีเชิงอนุมาน (Inductive ทฤษฎี) ถ้าแบ่งตามขนาดของแนวคิดก็อาจ แบ่งเป็นทฤษฎีมหภาคเช่นทฤษฎีด้านทางเลือกสาธารณะและทฤษฎีจุลภาคเช่นทฤษฎีองค์การต่างๆ แต่ถ้าแบ่งตามจุดมุ่งหมายของทฤษฎีสตีเฟ่นเคเบลีย์ (1968) ได้จำแนกทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็น 4 ประเภท


1.Descriptive - อธิบายทฤษฎีเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการพรรณนาและอธิบาย โดย ทฤษฎีพรรณนาเป็นการพรรณนาที่มีตัวแปรตัวเดียวเป็นการ พรรณนาลักษณะต่างๆ ของตัวแปรตัวนั้นในมิติต่างๆส่วนอธิบายทฤษฎีเป็นการอธิบายที่มีตัวแปร 2 ตัวคือสามารถระบุได้ว่าเป็นปัจจัย ที่ทำให้เกิดปัจจัยอีกปัจจัยหนึ่งตามมาเช่นความผูกพันต่อองค์การมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานในองค์การเป็นต้น

2 ทฤษฎี assumptive เป็นการกล่าวถึงเงื่อนไขที่เกิดก่อนแล้ว นำไปใช้ในการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดตามมาในลักษณะ ถ้า X แล้ว Y เช่นเมื่อเห็นงบโฆษณาขององค์การเพิ่ม ขึ้นสิ่งที่น่าจะตามมาก็คือการเห็นยอดขาย ขององค์การเพิ่มขึ้นดังนั้นทฤษฎีที่อธิบาย ให้ผู้สนใจมีความเข้าใจในทฤษฏี พรรณนาและ explanative มากยิ่งขึ้น


3 ทฤษฎี Instrumental เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับเครื่องมือที่ช่วย ในการวิเคราะห์ซึ่งถูกนำมาใช้ในรัฐประศาสนศาสตร์เนื่องจากรัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ประยุกต์จึงต้องมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์เช่นทฤษฎีจูงใจทฤษฎีภาวะผู้นำหรือทฤษฎีเกี่ยวกับเทคนิคการบริหารต่างๆเช่นทฤษฎี เกี่ยวกับ QC, PMQA หรือทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารโดยวัตถุประสงค์


4 ทฤษฎีกฎเกณฑ์เป็นการศึกษาถึงสิ่งที่ควรจะเป็น จึงเป็นเรื่องของการใช้ค่านิยมในการตัดสินใจ แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรัฐประศาสนศาสตร์เพราะรัฐประศาสนศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับผู้บริหารที่จำเป็นจะต้องไปเลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายต่างๆซึ่งต่าง จากทฤษฎีประเภทอื่น ๆ ที่กล่าวที่ เน้นการให้ความรู้ แต่ทฤษฎีทางด้าน กฎเกณฑ์จะให้ทางเลือกในห้างหุ้นส่วนจำกัดหัวเรื่อง: การตัดสินใจจึงเป็นทฤษฎีที่มีความสามารถสำคัญ


อย่างไรก็ตามนักทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่นิยมที่จะแบ่งทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็น 2 ประเภทคือทฤษฎี เชิงประจักษ์ (Empirical ทฤษฎี) และทฤษฏีเชิงปทัสถาน (ทฤษฎีกฎเกณฑ์) (อุทัยเลาหวิเชียร, 2550) โดยทฤษฎีเชิงประจักษ์จะครอบคลุมถึงทฤษฎี การพรรณนาและอธิบาย (พรรณนา -Explanatory) ทฤษฎีทำนายตามเงื่อนไขที่เกิดก่อน ( ทฤษฎี assumptive) และทฤษฏีที่เป็นเครื่องมือ ที่ช่วยในการวิเคราะห์ (Instrumental ทฤษฎี) ตามแนวคิดของสตีเฟ่นเคเบลีย์นั้นเองทั้งนี้โดยทฤษฎีเชิงประจักษ์จะ เป็นทฤษฎีและแนวความคิดที่เน้นการสั่งสมองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ ( วิทยาศาสตร์) ส่วนทฤษฎีและแนวความคิดเชิงประจักษ์ เน้นการอธิบายเชิงปรัชญาและค่านิยมดังนั้นทฤษฎีทั้งสองแนวจึงมีการแสวงหาองค์ความรู้และการนำมาประยุกต์ใช้ที่แตกต่างกันอย่างมากโดยทฤษฎีและแนวความคิดทั้งสองต่าง ก็มีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตก ต่างกันอนึ่งจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นทฤษฎีเชิงประจักษ์ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ทฤษฎีตัวแบบการตลาดหรือทฤษฎีองค์การต่างล้วนเป็นทฤษฎีที่เน้นการเพิ่มพูนความรู้ แทบทั้งสิ้น
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: