In the late years of Ottoman rule,

In the late years of Ottoman rule, Jericho formed part of the waqf and imerat of Jerusalem. The villagers processed indigo as one source of revenue, using a cauldron specifically for this purpose that was loaned to them by the Ottoman authorities in Jerusalem.[49] For most of the Ottoman period, Jericho was a small village of farmers susceptible to attacks by Bedouins. The French traveller Laurent d'Arvieux described the city in 1659 as "now desolate, and consists only of about fifty poor houses, in bad condition

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในปีช่วงปลายของออตโตมันกฎ Jericho เกิดส่วนหนึ่งของคณะนี้และ imerat ของเยรูซาเลม ชาวบ้านดำเนินครามเป็นแหล่งรายได้ การใช้หม้อน้ำไปเล่นเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์นี้ให้ยืมไป โดยอำนาจของออตโตมันในเยรูซาเลม[49] สำหรับส่วนใหญ่ของออตโตมัน Jericho เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเกษตรกรที่ไวต่อการโจมตีโดย Bedouins D'Arvieux Laurent ฝรั่งเศสเดินอธิบายเมืองนักสำรวจ "ตอนนี้ desolate และประกอบด้วยเพียงประมาณ 50 บ้านดี สภาพดี

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ในช่วงปลายปีของการปกครองของออตโตมัน, เจริโคเป็นส่วนหนึ่งของ Waqf และ imerat เยรูซาเล็ม ชาวบ้านการประมวลผลสีครามเป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของรายได้จากการใช้หม้อเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์นี้ที่ถูกยืมไปพวกเขาโดยเจ้าหน้าที่ออตโตมันในกรุงเยรูซาเล็ม. [49] สำหรับส่วนมากของระยะเวลาที่ออตโตมันเจริโคเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเกษตรกรไวต่อการโจมตีโดย เบดูอิน เดินทางฝรั่งเศส Laurent d'Arvieux อธิบายเมืองใน 1659 เป็น "อ้างว้างตอนนี้และประกอบด้วยประมาณห้าสิบบ้านไม่ดีในสภาพที่เลวร้าย

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ในช่วงปลายปีของออตโตมันกฎเมืองเยรีโคขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของ waqf และ imerat แห่งเยรูซาเล็ม ชาวบ้านแปรรูปครามเป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของรายได้ การใช้หม้อเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ที่ยืมนั้น โดยทางการตุรกีในเยรูซาเล็ม [ 49 ] ที่สุดของยุคออตโตมัน เจอริโค เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของเกษตรกรที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยเบดูอิน .นักท่องเที่ยวฝรั่งเศส Laurent d'arvieux อธิบายเมืองที่เป็น " ตอนนี้รกร้าง และประกอบด้วยเฉพาะของเรื่องบ้านคนจนห้าสิบ ในสภาพที่ไม่ดี