This is my first time that I was learnt how to cooked Khao Chae. Around the time of King Rama II, the recipe was adapted from a Mon dish and then modified. It was meant to be made and consumed in the hot season, from mid-March to the end of April. The Mon people prepare this dish during the Songkran Festival as part of their thanksgiving. When khao chae was introduced to Thailand during the reign of King Rama II, it was considered "royal cuisine" and not available to the public. When reign of King Rama II pasted away in 2453, Khao Chae have been distributed outside the palace, and is extremely popular.
Khao chae is not easy to prepare, but the chefs were already prepare the ingredients. We just only cooked the Kapi balls. That made easier for us to prepare it. We started with watched the ingredients, peeled it and chopped up before putted them to the mortar and pound them together. The ingredients that we putted in the mortar were wild ginger, shallots, garlics, palm sugar, lemon glass, dried fish, and kapi. After that, we placed it in a wok and then heated to reduce the moisture so that a thick paste of highly scented shrimp is created. Afterwards it is allowed to cool and then rolled into small balls. Some of my friends in the group were doing well on carved the vegetables. They prepared the side dish for instance Mangoes, chilies, spring onion, galingale, and cucumbers. It was nice. Then we decorated the side dish and put all the ingredients together in the plate. In the plate included by Kapi balls, Stuffed sweet peppers, Shredded sweetened beef or pork, Stir-fried sweet pickled Chinese turnips, raw mango, cucumber, wild ginger, chilies and spring onions and rice with ice. After finish the dish, it’s time to taste it. I took a little bite of the side dish, chew a bit, and then follow with a spoonful of the icy rice. Nibble on fresh vegetables between each side to refresh palate. It is suggested that I started with the condiment that has the mildest taste and strongest taste. It taste strange but balance. This was one of my fantastic experiences from learning with this class.
นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่ฉันได้เรียนรู้วิธีการปรุงสุกข้าวแช่ รอบเวลาของรัชกาลที่ครั้งที่สองสูตรดัดแปลงมาจากจานมอญและการแก้ไขแล้ว มันหมายถึงการจะทำและการบริโภคในฤดูร้อนจากกลางเดือนมีนาคมที่จะสิ้นเดือนเมษายน คนมอญเตรียมอาหารจานนี้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นส่วนหนึ่งของวันขอบคุณพระเจ้าของพวกเขา เมื่อข้าวแช่ถูกนำไปประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่สองมันก็ถือว่าเป็น "อาหารรอยัล" และไม่ให้บริการแก่ประชาชน เมื่อสมัยรัชกาลที่สองวางอยู่ใน 2453, ข้าวแช่ได้รับการแจกจ่ายนอกพระราชวังและเป็นที่นิยมอย่างมาก.
ข้าวแช่ไม่ง่ายที่จะเตรียมความพร้อม แต่พ่อครัวได้แล้วเตรียมส่วนผสม เราเพียงแค่สุกเพียงลูกบางกะปิ ที่ทำให้ง่ายขึ้นสำหรับเราที่จะเตรียมความพร้อม เราเริ่มต้นด้วยดูส่วนผสมที่ปอกเปลือกและสับขึ้นก่อนที่จะให้พวกเขา putted ครกโขลกให้เข้ากัน ส่วนผสมที่เรา putted ในครกเป็นขิงป่าหอมแดงกระเทียมน้ำตาลปี๊บแก้วมะนาว, ปลาแห้งและบางกะปิ หลังจากที่เราได้วางไว้ในกระทะร้อนแล้วและเพื่อลดความชื้นเพื่อให้วางหนากุ้งหอมสูงจะถูกสร้างขึ้น หลังจากนั้นจะได้รับอนุญาตให้เย็นแล้วรีดเป็นลูกเล็ก ๆ เพื่อนของผมบางในกลุ่มที่กำลังทำอย่างดีในการแกะสลักผัก พวกเขาเตรียมกับข้าวสำหรับมะม่วงเช่นพริก, ต้นหอมข่าและแตงกวา มันเป็นความสุข จากนั้นเราตกแต่งกับข้าวและใส่ส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันในจาน ในแผ่นรวมโดยลูกบางกะปิ, ยัดไส้พริกหวานหั่นหวานเนื้อวัวหรือเนื้อหมูผัดผักกาดดองหวานจีน, มะม่วงดิบ, แตงกวา, ขิงป่าพริกและต้นหอมและข้าวกับน้ำแข็ง หลังจากที่เสร็จสิ้นจานก็ถึงเวลาที่จะลิ้มรสมัน ผมเอากัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของจานด้านเคี้ยวบิตและจากนั้นตามด้วยช้อนข้าวน้ำแข็ง แทะในผักสดระหว่างแต่ละด้านเพื่อฟื้นฟูเพดานปาก มันก็บอกว่าฉันเริ่มต้นด้วยเครื่องปรุงอาหารที่มีรสชาติภาพได้ชัดเจนและรสชาติที่แข็งแกร่ง มันรสชาติแปลก แต่ความสมดุล นี่คือหนึ่งในประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมของฉันจากการเรียนรู้ด้วยชั้นนี้
การแปล กรุณารอสักครู่..