ข้อสำคัญคือมันจะเขียวนาน ซึ่งจะแตกต่างจากปุ๋ยเคมี เช่น ปุ๋ยยูเรีย ซึ่งมันจะเขียวเร็วและหมดเร็ว ดังนั้นเราจะใช้วัตถุดิบชนิดนี้เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งจะให้ผลผลิตที่สูงกว่าเคมี หรือไม่ด้อยคุณภาพกว่าเคมี การเตรียมวัตถุดิบชนิดนี้จะนำไปผ่านกระบวนการผึ่งแดดให้แห้ง และนำไปบดตีให้ละเอียดก่อนจะนำไปผสมกับส่วนผสมชนิดอื่นๆ
วัตถุดิบที่ใช้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตัวที่ 2 คือ
กัวโนค้างคาว หรือขี้ค้างคาวก้นถ้ำ หรือเรียกอีกอย่างว่าขี้ค้างคาวหนัก ได้จากการนำคนงานไปขุดในถ้ำ ซึ่งสังเกตได้ว่าจะมีทั้งหินและฟอสเฟตปนมา
กัวโนค้างคาว นี้จะมีองค์ประกอบฟอสฟอรัสเป็นหลัก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 14 % ขึ้นไป ฟอสฟอรัสจะช่วยทำให้รากพืชเจริญเติบโต ทำให้พืชแข็งแรง ซึ่งปริมาณฟอสฟอรัสใน กัวโนค้างคาวนี้มีมากใกล้เคียงกับปุ๋ยเคมี
แหล่ง กัวโนค้างคาวซึ่งได้มาจากในถ้ำ เป็นแหล่งมี่ให้ ฟอสฟอรัสสูง เราสามารถใทดแทนปุ๋ยเคมีได้ แต่เราจะต้องนำมาผึ่งแดดให้แห้งพอหมาดๆ และนำไปเข้าเครื่องตี และร่อน เพื่อให้ได้ส่วนผสมที่ละเอียด พร้อมที่จะนำไปปั้นขึ้นรูปเป็นเม็ดต่อไป
วัตถุดิบตัวที่ สาม ที่เรานำมาใช้เพื่อผลิต
ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นสารที่ให้ธาตุโปแตสเซียม ได้แก่กากส่าของแอลกอฮอล์ หรือกากส่าเหล้า กระบวนการผลิตแอลกอฮอล์หรือเหล้า เขาจะใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ แล้วใช้ยีสต์เปลี่ยนกากน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ ต่อจากนั้นผ่านกระบวนการกลั่นกากที่ได้เมื่อเรานำไปตรวจสอบจะพบว่า มีไนโตรเจนมากกว่า 2 % และมีโปแตสเซียมมากกว่า 6% กากส่าเหล้าตัวนี้เป็นผลผลิตที่เหลือจากการผลิตทางอุตสาหกรรม แต่เราสามารถนำมาเป็นส่วนผสมของปุ๋ยอินทรีย์ ทำให้ปุ๋ยของเราเรียก ว่าเป็นปุ๋ย “หวาน” เพราะใน โปแตสเซียม จะมีผลทำให้ผลไม้มีรสหวานฉะนั้นจึงเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ดีที่เรานำมาใช้ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์
วัตถุดิบตัวที่สี่ ได้แก่วัตถุดิบที่ใช้ปรับสภาพดิน เนื่องจากในประเทศไทย ในช่วง 40-50 ปีที่ผ่านมาเรามีการใช้ปุ๋ยเคมีมากทำให้ดินอยู่ในสภาพที่เป็นกรด สภาพดินที่เป็นกรดพืชไม่สามารถดูดซึมเอาธาตุอาหารที่มีอยู่ในดินนำไปใช้ประโยชน์ได้