หลังจากที่ฉันจบการศึกษาระดับประถมศึกษา ฉันก็เข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนใกล้บ้าน วันแรกฉันก็ไม่ได้ไปโรงเรียน เพราะฉันเป็นอีสุกอีใส ฉันต้องหยุดเรียน 1 อาทิตย์ พ่อของฉันที่ไปทำงานอยู่ประเทศไต้หวัน เขาก็กลับมาในวันที่ฉันหยุดเรียน ฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้เจอกับพ่อ รู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มีพ่อแม่เหมือนคนอื่นๆ เพราะพ่อไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน2ปีแล้ว หลังจากที่พ่อกลับมา พ่อก็รับทำประตูม้วน เหล็กดัด ที่บ้าน ฉันกับแม่ก็จะช่วยทาสี นอกจากจะทำเกี่ยวกับเหล็กดัด พ่อกับแม่ยังทำนาด้วย ชีวิตครอบครัวในตอนนั้นมีความสุขมากแต่ความสุขเริ่มลดลงเรื่อยๆ เพราะพ่อเริ่มกินเหล้าหนักขึ้นทุกวัน ภาพยังติดตาฉันอยู่ คือภาพที่พ่อนอนอยู่บนเตียงหลังจากกินเหล้าหนัก ก่อนพ่อจะนอนพ่อก็บ่นหิวข้าวฉันก็เล่นตามประสาเด็กอยู่หน้าบ้าน แม่พยายามเรียกพ่อให้เปิดประตู แต่พ่อไม่เปิด แม่เรียกน้ากับลุงมาช่วยกันพังประตู เพราะแม่คิดว่าพ่อต้องหิวข้าวจนหมดสติไปแล้ว น้ากับลุงช่วยกันหามพ่อส่งโรงพยาบาล มันเป็นความจริงเหมือนที่แม่คิด เพราะพ่อของฉันรู้สึกตัวจากการการปั๊มหัวใจของหมอ หมอบอกว่าถ้าพามาช้าอีกนิดเดียวพ่อของฉันคงตายไปแล้ว นับจากวันนั้นพ่อก็หยุดกินเหล้า แต่ได้ไม่นาน พ่อก็กลับมากินอีก ครั้งนี้พ่อไปซื้อปืนจากเพื่อนมา เพราะว่าในช่วงนั้นมีขโมยแอบเข้าบ้านเพื่อขโมยทรัพย์สิน ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ตราบใดที่ยังจับขโมยไม่ได้ ทุกคนต้องอยู่กับความหวาดระแวง ไม่กล้าออกจากบ้านไปทำงาน สุดท้ายหัวขโมยก็โดนวิสามัญฆาตกรรม หลังจากนั้นชาวบ้านก็อยู่กันอย่างสงบ แต่พ่อยังเก็บปืนไว้ไม่ยอมเอาปืนไปทิ้งหรือขายให้คนอื่น พ่อกินเหล้าหนักขึ้นทุกวัน ในช่วงนั้นน้องชายบวชเรียนอยู่ที่วัด เพราะฉะนั้นที่บ้านจะมีเพียงฉัน พ่อและแม่ เวลาพ่อเมา พ่อจะหาเรื่องแม่เอาปืนขู่แม่เป็นประจำทุกวัน แม่เป็นคนเงียบๆไม่ชอบเถียง เพราะฉะนั้นมันถึงไม่มีปัญหาร้ายแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกาย จุดจบที่เห็นคือพ่อหาเรื่องแม่สักพักพ่อก็นอน ฉันจึงรู้สึกเบื่อที่บ้าน เบื่อพ่อขี้เมา ฉันมักจะปีนรั้ว ปีนกำแพงหนีเที่ยวบ่อยๆ บางครั้งฉันก็ไม่กลับมานอนที่บ้าน และแล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น วันนั้นฉันไม่อยากเที่ยวก็เลยนั่งฟังเพลงอยู่ในห้อง อยู่ๆฉันก็ได้ยินเสียงแม่ตะโกนขอความช่วยเหลือ ฉันวิ่งออกจากห้อง ไปตบประตู ทันทีที่ประตูเปิดภาพที่เห็นพ่อกำลังจะใส่ลูกปืน ฉันรีบแย่งปืนจากมือพ่อ และวิ่งออกจากบ้านปีนรั้ว ยืนตัวสั่นมือนึงก็ยังถือปืนอยู่นอกรั้ว พ่อวิ่งตามมาพ่อพยายามพูดเบาๆเพื่อกล่อมให้ฉันกลับเข้าบ้าน ในขณะที่ประตูรั้วยังล็อคอยู่ ฉันคิดว่าพ่อคงปีนรั้วข้ามมาหาฉันไม่ได้แน่นอน ฉันพูดเสียงแข็งตอบกลับไปว่า "พ่อเข้าบ้านเลย ถ้าพ่อไม่เข้าบ้านหนูจะยืนรอตำรวจอยู่ตรงนี้ ให้ตำรวจจับหนูเข้าคุกไปเลย" ภาพของเด็กผู้หญิงผมสั้น อายุ 15 ปีใส่เสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาสั้นลายดอกยืนถือปืนที่ไม่มีใบอนุญาตอยู่นอกรั้ว ถ้าตำรวจมาเจอก็คงโดนจับ ประวัติไม่ดีตั้งแต่เด็กแน่นอน สุดท้ายพ่อก็ยอมเดินกลับเข้าไปในบ้านเพราะกลัวฉันจะถูกตำรวจจับ หลังจากนั้นแม่ก็เดินมาเปิดประตูให้ฉันกลับเข้าไปในบ้าน ฉันถามแม่ปืนนี้จะเอาไปเก็บที่ไหน แม่บอกให้ฉันเอาไปไว้ใต้กองใบไม้แห้งที่กวาดไว้เพื่อเตรียมที่จะเผา จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับแม่ สิ่งที่ฉันเห็นคือพ่อนั่งรอเพื่อจะถามว่าปืนอยู่ที่ไหน ฉันตอบกลับไปว่า "เอาทิ้งไปแล้ว พ่อจะถามทำไม ตั้งแต่มีปืนอยู่ในบ้าน บ้านก็เหมือนจะร้อนตลอด คนในบ้านก็มีแต่ปัญหา ที่หนูต้องหนีออกไปเที่ยวข้างนอกบ่อยๆ ก็เพราะเบื่อพ่อกับแม่ทะเลาะกัน พ่อไปนอนได้แล้วนะ และไม่ต้องออกไปหาปืนด้วย เพราะหนูทิ้งคลองไปแล้ว" ( ฉันรู้สึกแย่ที่พูดกับพ่อด้วยอารมณ์โกรธ แต่ทั้งบ้านมีแค่ฉันคนเดียวที่สามารถบังคับพ่อได้ คนเดียวที่พ่อจะฟัง สาเหตุที่พ่อเชื่อฉันไม่ใช่เพราะพ่อรักฉันมาก แต่พ่อยังคงรู้สึกผิดกับฉันอยู่ตลอดเวลา (แล้วฉันจะพูดให้คุณฟังทีหลังว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างพ่อกับฉัน ทำไมพ่อต้องรู้สึกผิด) พ่อโดนฉันบังคับให้กลับไปนอน พ่อก็ต้องยอมทำตามคำสั่งของฉันโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ จากวั้นนั้นจนถึงวันนี้ฉันไม่รู้ว่าปืนหายไปไหน ถามแม่แม่ก็บอกว่าไม่เห็น และฉันก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย เพราะฉันก็ไม่ได้รู้สึกดี ทุกทีที่มีปืนอยู่ในบ้าน ทันทีที่ปืนหายไปจากบ้าน ฉันยังคงได้ยินเสียงพ่อหาเรื่องแม่เหมือนเดิม เพียงแต่สบายใจมากขึ้นที่รู้ว่าแม่จะไม่ได้รับอันตรายใดๆแน่นอน นอกจากการหาเรื่องของคนเมา....