บทความทางวิชาการนี้เป็นบทความที่มีวิธีการศึกษาข้อมูลเอกสารในเชิงนิติศาสตร์ เป็นการศึกษาในเชิงพัฒนาและสะท้อนความจริงจากสังคมมีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากสื่อจากหนังสือ วารสาร งานวิจัย และสื่อมัลติมีเดียและศึกษา ค้นคว้า และวิเคราะห์ข้อมูล เสนอข้อคิดเห็นและแนวทางแก้ไข
ในปัจจุบันมีการทำแท้งโดยผิดกฎหมายที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยกฎหมายทางอาญาในเรื่องการทำแท้งเป็นการปิดกั้นสิทธิของบุคคลในการทำแท้ง ประกอบกับกฎหมายไทยมีลักษณะล้าสมัย ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงเพราะสภาพสังคมไทยเปลี่ยนไป ต่างจากต่างประเทศเช่นกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาหรือในประเทศสวีเดนที่ได้มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรมโดยมีการออกกฎหมายที่มีลักษณะผ่อนปรน โดยมีหลักการทำแท้งอย่างเสรีในการแก้ไขปัญหานั้นได้มีการกำหนดสาระสำคัญที่ต้องมีควบคู่การทำแท้งเสรี คือ การกำหนดเงื่อนไขตามมาตรฐานการรักษาทางการแพทย์เพื่อทำให้การทำแท้งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย การทำแท้งอย่างเสรีโดยไม่มีเงื่อนไขข้อกำหนดทางการแพทย์นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพ กฎหมายในประเทศไทยนั้นมีการกำหนดให้การทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฎหมายยกเว้นกรณี ท้องเพราะถูกข่มขืนกระทำชำเราหรือท้องแล้วเป็นอันตรายต่อสุขภาพซึ่งน้อยกว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือในประเทศสวีเดน แต่ในประเทศไทยนั้นกลับมีการลักลอบทำแท้งที่ผิดกฎหมายที่มีแนวโน้มและมีอุบัติการณ์สูงมากกว่า จนทำให้ต้องมีการกำหนดข้อบังคับแพทยสภาซึ่งเรียกว่า “ ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2548 “ ผลจากการมีข้อบังคับของแพทยสภาทำให้หลักความรับผิดของแพทย์ผู้ทำแท้งให้สตรีนั้นเป็นรูปธรรมและเป็นหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์นั้นกระทำได้ เป็นการเปิดทางเลือกให้กว้างขึ้นมีนิยามและวิธีปฏิบัติชัดเจนมากยิ่งขึ้นมีการกำหนดหลักความจำเป็นเนื่องจากสุขภาพทางจิตใจด้วยและมีการกำหนดหลักการอนุญาตให้ทำแท้งได้เมื่อทารกที่จะเกิดเสี่ยงต่อการพิกลพิการ และในภายภาคหน้าจะมีหลักการอนุญาตให้ทำแท้งได้เมื่อมีความจำเป็นในทางเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย