ทันใดนั้นซาโลเม่ก็ปรากฏโฉมในพัสตราภรณ์หลายชั้นงดงามวิจิตรที่สุด จนเหล่าข้าราชบริพารที่นั่งเฝ้าสลอนอยู่ต่างพากันตะลึงลาน เธอทูลกษัตริย์ว่าวันนี้เธอจะร่ายระบำแบบพิเศษให้พระเจ้าเฮรอดได้ทอดทัศนาเพื่อทรงพระสำราญยิ่งๆ ขึ้น ซาโลเม่กวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะทูลไม้ตายต่อไปว่าหากการเริงระบำครั้งนี้เป็นที่ถูกพระทัยมากแล้วไซร้ หากนางจะทูลขอรางวัลซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในพระราชอำนาจของพระเจ้าเฮรอดจะประทานได้ ก็ขอให้พิจารณาพระราชทานให้นางด้วย กษัตริย์เฮรอดซึ่งตอนนั้นอยู่ในอาการแทบจะหน้ามืดเพราะความงามของซาโลเม่ ละล่ำละลักตอบตกลงทันที แล้วระบำแพร 7 ชั้น ท่านผู้อ่านคงเดาออกนะครับว่า ผู้คนในวังที่นั่งชมนางเต้นระบำต่างก็หายใจไม่ทั่วท้องอ้าปากค้างกันไปทั้งวังเลยทีเดียว จนเมื่ออาภรณ์ชั้นสุดท้ายถูกเปลื้องออกไปหมดซาโลเม่ก็เผยเรือนร่างงดงามในชุดซับในน้อยชิ้นร่ายลีลาระบำอันทรงเสน่ห์สุดเหวี่ยงจนพระเจ้าเฮรอดอดไม่ได้ ต้องออกโอษฐ์อุทานว่า “วิเศษมาก! เยี่ยมที่สุด” ซาโลเม่ได้ยินดังนั้น ก็ยักย้ายส่ายสะโพกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะยุติการเริงระบำลง นางแน่ใจแล้วว่ากษัตริย์เฮรอดทรงพอพระทัยมาก “เช่นนั้นหม่อมฉันขอทวงรางวัลเพคะ” พระราชาทรงพระสรวลอย่างสำราญพระทัย“ปรารถนาสิ่งใดที่ข้าให้ได้ก็จงบอกมา” นวลนางซาโลเม่ก็คงชายตาไปยังพระราชชนนีอย่างรู้ความนัยกันและกัน
“หม่อมฉันขอศีรษะของท่าละนจอห์น เดอะแบ๊บตีส”
มีเสียงเงียบกันไปทั่วทั้งวัง ไม่รู้ว่าภายในใจของหมู่คนที่เฝ้าดูอยู่นั้นจะคิดอย่างไรกันบ้างละครับ ที่แน่ๆ พระนางเฮรอดิแอสทรงสมพระทัย และภายในชั่วโมงนั้นเองทหารก็ศรีษะของจอห์นเดอะแบ๊บตีส ใส่ถาดเทินออกมาให้ตามสัญญา แต่นั่นกลับเป็นเรื่องที่ทำให้ชาวคริสต์ทั้งปวงในยุคนั้นได้รับความโศกสลดและสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และก็หมายถึงบัลลังก์ของเฮรอดย่อมสั่นสะเทือนไปด้วย กษัตริย์เฮรอดกลายเป็นคนที่พังเพราะเมียอย่างเต็มภาคภูมิการสังหารท่านจอห์น เดอะแบ๊บตีส ตามใจเมียและลูกเลี้ยงทำให้พระองค์มีศัตรูมากมาย ไม่ช้าจักรพรรดิคาลิกูล่าแห่งโรมทรงเห็นว่าพระเจ้าเฮรอดที่ทรงมอบหมายให้เป็นผู้ครองมณฑลปาเลสไตน์ชักจะไม่ค่อยเข้าท่าซะแล้ว เลยทรงปลดจากตำแหน่งและเนรเทศไปจนสุดล่าฟ้าเขียวเข้าทำนองให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวจริงๆครับ ส่วนซาโลเม่ก็ถูกตาหน้าว่าเป็น “นางบาป” ตั้งแต่นั้นมาทว่านางกลับไม่ตกอับเหมือนพระมารดา ในภายหลังนางขึ้นสู่ตำแหน่งราชินีของชาวยิวโบราณเชียวนะครับเรื่องนี้โจเซฟัสผู้เล่าเรื่องได้
แสดงหลักฐานของซาโลเม่ให้ปรากฏว่าไม่ไช่เขากุขึ้นโดยปราศจากข้อเท็จจริง โดยที่เขาแสดงเหรียญกษาปณ์รูปซาโลเม่คู่กับสวามีของนางพร้อมด้วยคำจารึกว่า “พระเจ้าอลิสโตบุรัสกับราชินีซาโลเม่”
ปัจจุบันเหรียญดังกล่าวยังมีอยู่ในพิพิธฑ์กรุงเยรูซาเล็มครับ
นอกจากมีหลักฐานเหรียญกษาปณ์ราชินีซาโลเม่แล้ว ซากวังมาร์เครัสอันเคยรุ่งโรจน์ในอดีตกาลก็ยังเหลือฐานรากให้ปรากฏ อยู่ในบริเวณพื้นที่ขรุขระกันดารกางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบเดดซี ปัจจุบันนี้ถูกทิ้ง
ร้างไม่มีใครสนใจ เพราะหนทางที่จะไปถึงก็ยังทุรกันดารเหมือนเช่นครั้งโบราณกาล มีแต่ชนร่อรเร่ชาวเบดูอินบางเผ่าเท่านั้นที่ผ่านไปมาเป็นครั้งคราว นอกจากนี้ยังมีซากสถานที่คล้ายอุโมงค์ เหมือนคุกใต้ดินอยุ่ด้วย
ชาวเบดูอินสมัยใหม่ใช้เป็นที่หลบพายุโดยไม่รู้ว่าเมื่อเกือบ2พันปีก่อนสถานที่นี้คือคุกมืดที่ขังและบั่นคอท่านจอห์น เดอะแบ๊บตีส มาแล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีการขุดค้นทางโบราณคดีที่นั่นเลย เรื่องของโศกนาฏกรรมในประวัติศาสตร์ของซาโลเม่ และท่านจอห์น เดอะแบ๊บตีสจึงยังเป็นเรื่องตามบันทึกประวัติศาสตร์ที่ค่อยๆ เลือนหายอยู่ในสายลมด้อยประการฉะนี้