การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการฝึกโดยใช้น้ำหนักของร่างกายเป็นแรงต้านที่มีผลต่อการลดไขมันหน้าท้องเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของไขมันหน้าท้องก่อนการฝึก (Pre-test) และหลังการฝึก (Post-test) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้มาโดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) เป็นนักศึกษาที่มีรอบเอวเกินเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 2 คน จากนั้นทำการทดสอบสมรรถภาพทางกายและฝึกตามโปรแกรมโดยใช้น้ำหนักที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ทำการฝึกเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน เก็บข้อมูลก่อนการฝึก (Pre - test) และหลังการฝึก (Post - test) โดยทำการทดสอบทั้งหมด 5 รายการจากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละและค่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างภายในกลุ่ม
ผลการวิจัยพบว่า การฝึกโดยใช้น้ำหนักของร่างกายเป็นแรงต้านก่อนและหลังการทดลองใช้โปรแกรมการฝึกด้วยน้ำหนักของร่างกายเป็นแรงต้าน ที่กำหนดขึ้น 4 สัปดาห์ ของกลุ่มตัวอย่างพบว่า น้ำหนัก ส่วนสูง เปอร์เซ็นไขมันในร่างกาย(Body fat Percentage) รอบเอว และไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้อง ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
สรุปได้ว่า น้ำหนัก ส่วนสูง เปอร์เซ็นไขมันในร่างกาย (Body fat Percentage) รอบเอว และไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้อง ภายหลังการฝึกออกกำลังกายด้วยน้ำหนัก หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 มีค่าลดลงน้อยมาก

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการฝึกโดยใช้น้ำหนักของร่างกายเป็นแรงต้านที่มีผลต่อการลดไขมันหน้าท้องเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของไขมันหน้าท้องก่อนการฝึก (ก่อนทดสอบ) และหลังการฝึก (หลังทดสอบ) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้มาโดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive สุ่ม) เป็นนักศึกษาที่มีรอบเอวเกินเกณฑ์มาตรฐานจำนวน 2 คนจากนั้นทำการทดสอบสมรรถภาพทางกายและฝึกตามโปรแกรมโดยใช้น้ำหนักที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นทำการฝึกเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์สัปดาห์ละ 5 วันเก็บข้อมูลก่อนการฝึก (ล่วงหน้า - ทดสอบ) และหลังการฝึก(ลง - ทดสอบ) โดยทำการทดสอบทั้งหมด 5 รายการจากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยหาค่าเฉลี่ยค่าร้อยละและค่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างภายในกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่าการฝึกโดยใช้น้ำหนักของร่างกายเป็นแรงต้านก่อนและหลังการทดลองใช้โปรแกรมการฝึกด้วยน้ำหนักของร่างกายเป็นแรงต้านที่กำหนดขึ้น 4 สัปดาห์ของกลุ่มตัวอย่างพบว่าน้ำหนักส่วนสูงเปอร์เซ็นไขมันในร่างกาย (ร่างกายเปอร์เซ็นต์ไขมัน) รอบเอวและไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 สรุปได้ว่าน้ำหนักส่วนสูงเปอร์เซ็นไขมันในร่างกาย (ร่างกายเปอร์เซ็นต์ไขมัน) รอบเอวและไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องภายหลังการฝึกออกกำลังกายด้วยน้ำหนักหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 มีค่าลดลงน้อยมาก

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

(Pre-Test) และหลังการฝึก (โพสต์การทดสอบ) ได้มาโดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง) จำนวน 2 คน ทำการฝึกเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์สัปดาห์ละ 5 วันเก็บข้อมูลก่อนการฝึก (Pre - test) และหลังการฝึก (โพสต์ - test) โดยทำการทดสอบทั้งหมด 5
ที่กำหนดขึ้น 4 สัปดาห์ของกลุ่มตัวอย่างพบว่าน้ำหนักส่วนสูงเปอร์เซ็นไขมันในร่างกาย (ร้อยละร่างกายไขมัน) รอบเอวและไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้อง 0.05
สรุปได้ว่าน้ำหนักส่วนสูงเปอร์เซ็นไขมันในร่างกาย (ร้อยละร่างกายไขมัน) รอบเอวและไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้อง หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 มีค่าลดลงน้อยมาก

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการฝึกโดยใช้น้ำหนักของร่างกายเป็นแรงต้านที่มีผลต่อการลดไขมันหน้าท้องเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของไขมันหน้าท้องก่อนการฝึก ( ก่อนสอบ ) และหลังการฝึก ( ทดสอบโพส )ได้มาโดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง ( กลุ่มตัวอย่าง ) เป็นนักศึกษาที่มีรอบเอวเกินเกณฑ์มาตรฐานจำนวน 2 คนจากนั้นทำการทดสอบสมรรถภาพทางกายและฝึกตามโปรแกรมโดยใช้น้ำหนักที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นทำการฝึกเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์5 ได้รับเลือกตั้งผ่านกระบวนการประชาธิปไตยของพม่าเก็บข้อมูลก่อนการฝึก ( Pre - test ) และหลังการฝึก ( Post - test ) โดยทำการทดสอบทั้งหมดรายการจากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยหาค่าเฉลี่ยค่าร้อยละและค่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างภายในกลุ่ม
5ผลการวิจัยพบว่าการฝึกโดยใช้น้ำหนักของร่างกายเป็นแรงต้านก่อนและหลังการทดลองใช้โปรแกรมการฝึกด้วยน้ำหนักของร่างกายเป็นแรงต้านที่กำหนดขึ้น 4 สัปดาห์ของกลุ่มตัวอย่างพบว่าน้ำหนักส่วนสูงเปอร์เซ็นต์ไขมัน ) รอบเอวและไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 005
สรุปได้ว่าน้ำหนักส่วนสูงเปอร์เซ็นไขมันในร่างกาย ( เปอร์เซ็นต์ไขมันของร่างกาย ) รอบเอวและไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องภายหลังการฝึกออกกำลังกายด้วยน้ำหนักหลังการฝึกสัปดาห์ที่มีค่าลดลงน้อยมาก
4