สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เดิมใช้เพียงแว่นขยายและเลนส์อันเดียวส่องดู คงเช่นเดียวกับการใช้แว่นขยายส่องดูลายมือ ในระยะต่อมา กาลิเลอิ กาลิเลโอ ได้สร้างแว่นขยายส่องดูสิ่งมีชีวิตเล็กๆในราวปี พ.ศ. 2153
ในช่วงปี พ.ศ. 2133 ช่างทำแว่นตาชาวฮอลันดาชื่อ แจนเสนประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ชนิดเลนส์ประกอบ ประกอบด้วยแว่นขยายสองอัน
ในปี พ.ศ. 2208 โรเบิร์ต ดาว์ฮุก ได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ชนิดเลนส์ประกอบที่มีลำกล้องรูปร่างสวยงาม ป้องกันการรบกวนจากแสงภายนอกได้ และไม่ต้องถือเลนส์ให้ซ้อนกัน (ดูภาพในกล่องข้อความประกอบ) เขาส่องดูไม้คอร์กที่ฝานบางๆ แล้วพบช่องเล็กๆมากมาย เขาเรียกช่องเหล่านั้นว่าเซลล์ ซึ่งหมายถึงห้องว่างๆ หรือห้องขัง เซลล์ที่ดาว์ฮุกเห็นเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว เหลือแต่ผนังเซลล์ของพืชซึ่งแข็งแรงกว่าเยื่อหุ้มเซลล์ในสัตว์ จึงทำให้คงรูปร่างอยู่ได้ ฮุกจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตั้งชื่อเซลล์
ในปี พ.ศ. 2215 แอนโทนี แวน เลเวนฮุค ชาวฮอลันดา สร้างกล้องจุลทรรศน์ชนิดเลนส์เดียวจากแว่นขยายที่เขาฝนเอง แว่นขยายบางอันขยายได้ถึง 270 เท่า เขาใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจดูหยดน้ำจากบึงและแม่น้ำ และจากน้ำฝนที่รองไว้ในหม้อ เห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆมากมายนอกจากนั้นเขายังส่องดูสิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น เม็ดเลือดม่วง, เซลล์สืบพันธุ์ของ...., กล้ามเนื้อ เป็นต้น เมื่อเขาพบสิ่งเหล่านี้ เขารายงานไปยังราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์
ปี พ.ศ. 2367 ดูโธรเชต์ นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสศึกษาเนื้อเยื่อพืช และสัตว์พบว่าประกอบด้วยเซลล์
ปี พ.ศ. 2376 โรเบิร์ต บราวน์ นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นค้นแรกที่พบว่าเซลล์และพืชมีนิวเคลียสเป็นก้อนกลมๆ อยู่ภายในเซลล์
ปี พ.ศ. 2378 นุก นะดือจาร์แดง นักสัตวศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ศึกษาจุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ พบว่าภายในประกอบด้วยของเหลวใสๆ จึงเรียกว่า ซาร์โคด ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสมาจากศัพท์กรีกว่า ซารค์ (Sarx) ซึ่งแปลว่าเนื้อ
ปี พ.ศ. 2381 ชไลเดน นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ศึกษาเนื้อเยื่อพืชชนิดต่างๆ พบว่าพืชทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์
ปี พ.ศ. 2382 ชไลเดรและชวาน จึงร่วมกันตั้งทฤษฎีเซลล์ ซึ่งมีใจความสรุปได้ว่า "สิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบไปด้วยเซลล์และผลิตภัณฑ์จากเซลล์"
พ.ศ. 2382 พัวกินเย นักสัตวิทยาชาวเชคโกสโลวาเกีย ศึกษาไข่และตัวอ่อนของสัตว์ชนิดต่างๆ พบว่าภายในมีของเหลวใส เหนียว อ่อนนุ่มเป็นวุ้น เรียกว่าโปรโตพลาสซึม
ต่อจากนั้นมีนักวิทยาศาสตร์อีกมากมายทำการศึกษาเกี่ยวกับเซลล์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิดเลนส์ประกอบ และได้พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น จนกระทั่งปี พ.ศ. 2475 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน คืออี.รุสกา และแมกซ์นอลล์ ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการของกล้องจุลทรรศน์ที่ใช้แสงและเลนส์มาใช้ลำอิเล็กตรอน ทำให้เกิดกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนขึ้นในระยะต่อๆมา ปัจจุบันมีกำลังขยายกว่า 5 แสนเท่า
ชนิดของกล้องจุลทรรศน์
กล้องจุลทรรศน์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 2 ประเภท คือ กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (Optical microscopes) และกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน(Electron microscopes)
กล้องจุลทรรศน์ชนิดที่พบได้มากที่สุด คือชนิดที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกว่า กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (optical microscope) เป็นอุปกรณ์ใช้แสงอย่างหนึ่ง มีเลนส์อย่างน้อย 1 ชิ้น เพื่อทำการขยายภาพวัตถุที่วางในระนาบโฟกัสของเลนส์นั้นๆ
husban awaeกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง ===
Light microscope เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่พบอยู่ทั่วไป โดยเวลาส่องดูจะเห็นพื้นหลังเป็นสีขาว และจะเห็นเชื้อจุลินทรีย์มีสีเข้มกว่า
Stereo microscope เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่ส่องดูสิ่งมีชีวิตที่ไม่เล็กมาก ส่องดูเป็น3มิติ ส่วนใหญ่จะใช้ในการศึกษาแมลง
Dark field microscoe เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่มีพื้นหลังเป็นสีดำ เห็นเชื้อจุลินทรีย์สว่าง เหมาะสำหรับใช้ส่องจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็ก ที่ติดสียาก
Phase contrast microscope ใช้สำหรับส่องเชื้อจุลินทรีย์ที่ยังไม่ได้ทำการย้อมสี จะเห็นชัดเจนกว่า Light microscope
Fluorescence microscope ใช้แหล่งกำเนิดแสงเป็น อัลตราไวโอเลต ส่องดูจุลินทรีย์ที่ย้อมด้วยสารเรืองแสง ซึ่งเมื่อกระทบกับแสง UV จะเปลี่ยนเป็นแสงช่วงที่มองเห็นได้ แล้วแต่ชนิดของสารที่ใช้ พื้นหลังมักมีสีดำ
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (Electron microscope) เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังการขยายสูงมาก เพราะใช้ลำแสงอิเล็กตรอนแทนแสงปกติและใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าแทนเลนส์แก้ว เป็นกล้องที่ใช้ในการศึกษาโครงสร้าง และส่วนประกอบของเซลล์ ได้อย่างละเอียด ที่กล้องชนิดอื่นไม่สามารถทำได้ มีกำลังขยาย 1,600เท่า
ฮุสบัน อาแว== ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ ==
ฐาน (Base) เป็นส่วนที่ใช้วางบนโต๊ะ ทำหน้าที่รับน้ำหนักทั้งหมดของกล้องจุลทรรศน์ มีรูปร่างสี่เหลี่ยม หรือวงกลม ที่ฐานจะมีปุ่มสำหรับปิดเปิดไฟฟ้า
แขน (Arm) เป็นส่วนเชื่อมตัวลำกล้องกับฐาน ใช้เป็นที่จับเวลาเคลื่อนย้ายกล้องจุลทรรศน์
ลำกล้อง (Body tube) เป็นส่วนที่ปลายด้านบนมีเลนส์ตา ส่วนปลายด้านล่างติดกับเลนส์วัตถุ ซึ่งติดกับแผ่นหมุนได้ เพื่อเปลี่ยนเลนส์ขนาดต่าง ๆ ติดอยู่กับจานหมุนที่เรียกว่า Revolving Nosepiece
ปุ่มปรับภาพหยาบ (Coarse adjustment) ทำหน้าที่ปรับภาพโดยเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุ (เลื่อนลำกล้องหรือแท่นวางวัตถุขึ้นลง) เพื่อทำให้เห็นภาพชัดเจน
ปุ่มปรับภาพละเอียด (Fine adjustment) ทำหน้าที่ปรับภาพ ทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้น
เลนส์ใกล้วัตถุ (Objective lens) เป็นเลนส์ที่อยู่ใกล้กับแผ่นสไลด์ หรือวัตถุ ปกติติดกับแป้นวงกลมซึ่งมีประมาณ 3-4 อัน แต่ละอันมีกำลังบอกเอาไว้ เช่น x3.2, x4, x10, x40 และ x100 เป็นต้น ภาพที่เกิดจากเลนส์ใกล้วัตถุเป็นภาพจริงหัวกลับ
เลนส์ใกล้ตา (Eye piece) เป็นเลนส์ที่อยู่บนสุดของลำกล้อง โดยทั่วไปมีกำลังขยาย 10x หรือ 15x ทำหน้าที่ขยายภาพที่ได้จากเลนส์ใกล้วัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดภาพที่ตาผู้ศึกษาสามารถมองเห็นได้ โดยภาพที่ได้เป็นภาพเสมือนหัวกลับ
เลนส์รวมแสง (Condenser) ทำหน้าที่รวมแสงให้เข้มขึ้นเพื่อส่งไปยังวัตถุที่ต้องการศึกษา
กระจกเงา (Mirror) ทำหน้าที่สะท้อนแสงจากธรรมชาติหรือแสงจากหลอดไฟภายในห้องให้ส่องผ่านวัตถุโดยทั่วไปกระจกเงามี 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นกระจกเงาเว้า อีกด้านเป็นกระจกเงาระนาบ สำหรับกล้องรุ่นใหม่จะใช้หลอดไฟเป็นแหล่งกำเนิดแสง ซึ่งสะดวกและชัดเจนกว่า
ไดอะแฟรม (Diaphragm) อยู่ใต้เลนส์รวมแสงทำหน้าที่ปรับปริมาณแสงให้เข้าสู่เลนส์ใ
ในระยะต่อมากาลิเลอิกาลิเลโอ พ.ศ. 2153
ในช่วงปี พ.ศ. 2133 ช่างทำแว่นตาชาวฮอลันดาชื่อ ประกอบด้วยแว่นขยายสองอัน
ในปี พ.ศ. 2208 โรเบิร์ตดาว์ฮุก ป้องกันการรบกวนจากแสงภายนอกได้และไม่ต้องถือเลนส์ให้ซ้อนกัน (ดูภาพในกล่องข้อความประกอบ) เขาส่องดูไม้คอร์กที่ฝานบาง ๆ แล้วพบช่องเล็ก ๆ มากมายเขาเรียกช่องเหล่านั้นว่าเซลล์ซึ่งหมายถึง ห้องว่าง ๆ หรือห้องขัง จึงทำให้คงรูปร่างอยู่ได้
พ.ศ. 2215 แอนโทนีแวนเลเวนฮุคชาวฮอลันดา แว่นขยายบางอันขยายได้ถึง 270 เท่า และจากน้ำฝนที่รองไว้ในหม้อ เช่นเม็ดเลือดม่วง, เซลล์สืบพันธุ์ของ .... , กล้ามเนื้อเป็นต้นเมื่อเขาพบสิ่งเหล่านี้
พ.ศ. 2367 ดูโธรเชต์ และสัตว์พบว่าได้ประกอบด้วยเซลล์
ปี พ.ศ. 2376 โรเบิร์ตบราวน์นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ อยู่ภายในเซลล์
ปี พ.ศ. 2378 นุกนะดือจาร์แดงนักสัตวศาสตร์ชาวฝรั่งเศส พบว่าภายในประกอบด้วยของเหลวใส ๆ จึงเรียกว่าซาร์โคด ซารค์ (Sarx) ซึ่งแปลว่าได้เนื้อ
ปี พ.ศ. 2381 ชไลเดนนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันศึกษาเนื้อเยื่อพืชชนิดต่างๆพบว่าได้พืชทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์
ปี พ.ศ. 2382 ชไลเดรและชวานจึงร่วมกันตั้งทฤษฎีเซลล์ซึ่งมีใจความสรุปได้ว่า
2382 พัวกินเยนักสัตวิทยาชาวเชคโกสโลวาเกีย พบว่าภายในมีของเหลวใสเหนียวอ่อนนุ่มเป็นวุ้น
และได้พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นจนกระทั่งปี พ.ศ. 2475 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันคืออี. รุสกาและแมกซ์นอลล์ ปัจจุบันมีกำลังขยายกว่า 5 2 ประเภทคือกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (Optical กล้องจุลทรรศน์) และกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (Electron เรียกว่ากล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (กล้องจุลทรรศน์แสง) เป็นอุปกรณ์ใช้แสงอย่างหนึ่งมีเลนส์อย่างน้อย 1 ชิ้น awae กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง === กล้องจุลทรรศน์แสงเป็นกล้องจุลทรรศน์ที่พบอยู่ทั่วไป กล้องจุลทรรศน์ ส่องดูเป็น 3 มิติส่วนใหญ่จะใช้ในการศึกษาแมลงmicroscoe ด้านมืด เห็นเชื้อจุลินทรีย์สว่าง ที่ติดสียากกล้องจุลทรรศน์เฟสตรงกันข้าม จะเห็นชัดเจนกว่ากล้องจุลทรรศน์แสงกล้องจุลทรรศน์เรืองแสงใช้แหล่งกำเนิดแสงเป็นอัลตราไวโอเลต ซึ่งเมื่อกระทบกับแสงยูวีจะเปลี่ยนเป็นแสงช่วงที่มองเห็นได้แล้วแต่ชนิดของสารที่ใช้ (กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน) และส่วนประกอบของเซลล์ได้อย่างละเอียดที่กล้องชนิดอื่นไม่สามารถทำได้มีกำลังขยาย 1,600 เท่าฮุสบันอาแว == ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ == ฐาน (ฐาน) เป็นส่วนที่ใช้วางบนโต๊ะ มีรูปร่างสี่เหลี่ยมหรือวงกลม (แขน) เป็นส่วนเชื่อมตัวลำกล้องกับฐาน (หลอดร่างกาย) เป็นส่วนที่ปลายด้านบนมีเลนส์ตาส่วนปลายด้านล่างติดกับเลนส์วัตถุซึ่งติดกับแผ่นหมุนได้เพื่อเปลี่ยนเลนส์ขนาดต่าง ๆ ติดอยู่กับจานหมุนที่เรียกว่า Revolving nosepiece ปุ่มปรับภาพหยาบ (ปรับหยาบ ) (ปรับละเอียด) ทำหน้าที่ปรับภาพ (เลนส์วัตถุประสงค์) เป็นเลนส์ที่อยู่ใกล้กับแผ่นสไลด์หรือวัตถุปกติติดกับแป้นวงกลมซึ่งมีประมาณ 3-4 อันแต่ละอันมีกำลังบอกเอาไว้เช่น x3.2, x4, x10, x40 และ x100 เป็นต้น (ชิ้นส่วนตา) เป็นเลนส์ที่อยู่บนสุดของลำกล้องโดยทั่วไปมีกำลังขยาย 10 เท่าหรือ 15 เท่า (Condenser) (กระจก) 2 ด้านด้านหนึ่งเป็นกระจกเงาเว้าอีกด้านเป็นกระจกเงาระนาบ ซึ่งสะดวกและชัดเจนกว่าไดอะแฟรม (Diaphragm)
การแปล กรุณารอสักครู่..