ความสุขของฉันก็เหมือนกับคนอื่น ๆ (แม้ความจริงอาจจะไม่เหมือนเท่าไหร่ แต่ฉันจำเป็นต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ฉันถึงจะได้เป็นเด็กดี) คุณครูสอนว่าความสุขของคนเราไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเงิน แต่เพราะการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา และคุณครูยังชอบย้ำเสมอว่า “ผู้ให้มีความสุขกว่าผู้รับ”
ความจริงแล้วฉันไม่อยากจะเชื่อคุณครูเท่าไหร่นัก ขนาดฉันขอเงินพ่อแค่ห้าบาทเพื่อเอาไปซื้อขนม พ่อยังไม่ยอมให้ฉันเลย แถมยังตีหน้ายักษ์ใส่ฉัน ฉันไม่รู้ว่าพ่อไปกินรังแตนที่ไหนมา ฉันรู้แค่พ่อไม่ยินดีจะ “ให้” และฉันก็ไม่มีความสุขเพราะฉันไม่มี “เงิน” ไปซื้อขนม
ต่อมาวันหนึ่ง ฉันยกตุ๊กตาให้เพื่อนข้างบ้านไปหนึ่งตัว ฉันอยากให้เพื่อนมีตุ๊กตาสักตัวไว้เป็นเพื่อนเล่นบ้างเวลาที่ไม่ได้เล่นกับ ฉัน และเราจะได้มีตุ๊กตาแทนตัวกันละกัน ฉันกับตุ๊กตาที่ติ๊ต่างเป็นเพื่อน เพื่อนกับตุ๊กตาที่ติ๊ต่างเป็นฉัน ตกเย็น แม่กลับบ้านและพบว่าตุ๊กตาหายไปหนึ่งตัว แม่ทำให้ฉันพูดความจริงออกมาจนได้ พอแม่รู้แล้วแม่ก็โกรธมาก ว่าฉันเสียยกใหญ่ แถมยังตีฉันอีก แต่พอฉันบอกว่าจะไปเอากลับคืนมาก็ได้ แม่กลับบอกว่าไม่ต้อง ‘มันจะดูน่าเกลียด’ คือประโยคถัดมาที่แม่พูด คืนนั้นเป็นอีกคืนหนึ่งในหลาย ๆ คืนที่ฉันนอนหลับไปด้วยความสับสน
ฉันอยากเป็นเด็กดี ฉันรู้ว่าฉันต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ต้องเชื่อฟังคุณครู แต่ฉันไม่เคยคิดว่าการเชื่อฟังพ่อแม่และคุณครูจะยากขนาดนี้ แล้วฉันก็ยังต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่คนอื่นอีกด้วย ฉันรู้สึกสับสนมาก
คุณครูสอนให้รู้จักแบ่งปัน ฉันแบ่งเงินให้เพื่อนคนหนึ่งที่ไม่มีเงินซื้อขนม ...ฉันถูกตี
ฉันรู้ว่าเป็นรู้ว่าเป็นเด็กสมควรจะต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่คือคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน แต่ทำไมผู้ใหญ่หลายคนถึงพูดไว้ไม่เหมือนกัน ฉันรู้สึกสับสนมากว่าจะเชื่อใครดี และสุดท้ายแล้วผู้ใหญ่คนไหนกันที่สอนเรื่อง “ความสุข” ได้ถูกต้องที่สุด
ฉันคิดว่าเด็กอย่างฉันดูจะน่าเชื่อกว่าผู้ใหญ่สำหรับเรื่องของความสุข ฉันและเพื่อน ๆ ต่างคิดเหมือนกันว่า “ความสุข” สำหรับพวกเราแล้วคือการได้กินอิ่มนอนหลับ การได้ออกไปวิ่งเล่นในสนามหญ้าเขียวขจี การเป็นที่รัก และการมีคนที่เรารักอย่างพ่อกับแม่อยู่ข้าง ๆ
ความสุขของฉันอาจจะไม่ลึกลับซับซ้อนอย่างผู้ใหญ่ แต่ฉันมีความสุขในทุก ๆ วัน ฉันยังยิ้มร่าและหัวเราะร่อได้เสมอ ถึงแม้พวกผู้ใหญ่จะชอบทำหน้าบึ้งตึงใส่เด็ก ๆ อย่างเราตลอดเวลา และชอบดุว่าขัดจังหวะการเล่นสนุกของพวกเรา แต่ฉันก็ไม่เคยยอมให้ใบหน้าบึ้งตึงของผู้ใหญ่เหล่านั้นมาขวางกั้นระหว่างฉัน กับความสุข (ยกเว้นหมอและหมอฟัน) ส่วนสิ่งที่ผู้ใหญ่สอน พวกเราเห็นตรงกันว่าเราควรจะทำเป็นเชื่อ ๆ ไปก่อน ถ้าทำอะไรแล้วเห็นว่ามันดีจริง ๆ เราถึงจะยอมรับให้เข้ามาเป็นหนึ่งในความสุขของเรา นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ฉันจะสามารถเป็นเด็กดีได้โดยไม่เกิดความรู้สึก สับสน
ความสุขของฉันก็เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ทำตัวดี ๆ ให้ผู้ใหญ่ชมเราและรักเรา เราจะได้มีขนมกินและได้ทำอะไรที่อยากทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเป็นเด็กดี ลึก ๆ ในใจของเด็ก ๆ ทุกคน หวังเพียงการได้กระโดดโลดเต้นอยู่บนโลกแป้น ๆ ใบนี้ เท่านี้แหละคือความสุขที่แท้จริงของฉัน