ResultsThe mean age of the studied

Results
The mean age of the studied students was 22.9 ± 0.9 years.
About 96.2% of the students stated that reading is important,
96.2% knew that it has an impact on personality and 92.4%
knew that it affects quality of medical student. There was an
insignificant difference between the two studied years (Table
1).
Nearly half of the students (51.4%) were not convinced
with their reading habit and 67.6% of them tried to change
it; with a significant difference between the two years
(p= 0.015 and 0.044 respectively). Three fourths of students
(75.2%) suspect that their score will improve on changing their
reading habit especially when known that 89.5% have the ability
to develop a better one (Table 2).
The majority of students stated that they had barriers and
difficulties in their college that prevent them from reading
(including unavailability of suitable prepared place for reading,
difficulty to reach the desired material within the library,
unavailability of booking list for each subject and busy schedule),
insufficient time and source barriers (including difficulty
to obtain and language barrier); with a significant difference
between 4th and 5th years (p =0.04, 0.03, 0.002 respectively)
(Figure 1).
The most commonly used medical reference was pocket
books (92.4%), followed by lecture hand outs (88.6%) and
the least one was journal article (26.4%)

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ผลลัพธ์อายุเฉลี่ยของนักเรียน studied ถูก 22.9 ± 0.9 ปีประมาณ 96.2% นักเรียนระบุไว้ว่า การอ่านเป็นสำคัญ96.2% รู้ว่า มีผลกระทบด้านบุคลิกภาพและ 92.4%รู้ว่า มันมีผลต่อคุณภาพของนักศึกษาแพทย์ มีการความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสองปี studied (ตาราง1)เกือบครึ่งของนักเรียน (51.4%) ไม่ได้มั่นใจมีนิสัยการอ่านและ 67.6% ของพวกเขาพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงมัน มีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสองปี(p = 0.015 และ 0.044 ตามลำดับ) สาม fourths ของนักเรียนสงสัย (75.2%) ที่คะแนนของพวกเขาจะปรับปรุงในการเปลี่ยนแปลงของพวกเขานิสัยการอ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบว่า 89.5% มีความสามารถในพัฒนาดีกว่าหนึ่ง (ตารางที่ 2)นักเรียนส่วนใหญ่ระบุว่า พวกเขามีอุปสรรค และความยากลำบากในวิทยาลัยของพวกเขาที่ป้องกันพวกเขาจากการอ่าน(รวมทั้งไม่พร้อมใช้งานที่เหมาะสมเตรียมไว้สำหรับการอ่านยากถึงวัสดุที่ระบุภายในไลบรารีไม่พร้อมใช้งานรายการจองสำหรับกำหนดการแต่ละหัวข้อ และไม่ว่าง),พอเวลาและแหล่งอุปสรรค (รวมถึงความยากลำบากได้รับ และอุปสรรคภาษา); มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่าง 4 และ 5 ปี (p = 0.04, 0.03, 0.002 ตามลำดับ)(รูป 1)การอ้างอิงทางการแพทย์ที่ใช้บ่อยที่สุดคือ กระเป๋าหนังสือ (92.4%), ตาม ด้วยบรรยายมือลึกหนาบาง (88.6%) และอย่างน้อยหนึ่งถูกบทความสมุดรายวัน (26.4%)

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ผล
อายุเฉลี่ยของนักเรียนที่ศึกษาคือ 22.9 ± 0.9 ปี.
เกี่ยวกับ 96.2% ของนักเรียนกล่าวว่าการอ่านเป็นสิ่งสำคัญ
96.2% รู้ว่ามันมีผลกระทบต่อบุคลิกภาพและ 92.4%
รู้ว่ามันมีผลกระทบต่อคุณภาพของนักศึกษาแพทย์ มีเป็น
ความแตกต่างที่ไม่มีนัยสำคัญระหว่างทั้งสองศึกษาปี (ตารางที่
1).
เกือบครึ่งหนึ่งของนักเรียน (51.4%) เป็นไม่มั่นใจ
กับนิสัยการอ่านของพวกเขาและ 67.6% ของพวกเขาพยายามที่จะเปลี่ยน
มัน มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองปี
(p = 0.015 และ 0.044 ตามลำดับ) สามในสี่ของนักเรียน
(75.2%) สงสัยว่าคะแนนของพวกเขาจะดีขึ้นของพวกเขาเกี่ยวกับการเปลี่ยน
นิสัยการอ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้กันว่า 89.5% มีความสามารถใน
การพัฒนาหนึ่งที่ดีกว่า (ตารางที่ 2).
ส่วนใหญ่ของนักเรียนกล่าวว่าพวกเขามีอุปสรรคและ
ความยากลำบากใน วิทยาลัยของพวกเขาที่ป้องกันไม่ให้พวกเขาจากการอ่าน
(รวมถึงความไม่พร้อมของสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเตรียมการอ่าน
ความยากลำบากที่จะไปถึงวัสดุที่ต้องการภายในห้องสมุด
unavailability ของรายการจองห้องพักสำหรับแต่ละเรื่องตารางเวลาและไม่ว่าง)
เวลาไม่เพียงพอและอุปสรรคที่มา (รวมถึงความยากลำบากใน
การขอรับและ อุปสรรคทางภาษา); ที่มีความแตกต่างกัน
ระหว่าง 4 และปีที่ 5 (p = 0.04, 0.03, 0.002 ตามลำดับ)
(รูปที่ 1).
ใช้กันมากที่สุดอ้างอิงทางการแพทย์เป็นกระเป๋า
หนังสือ (92.4%) ตามด้วยการบรรยายลึกหนาบางมือ (88.6%) และ
น้อย หนึ่งเป็นบทความวารสาร (26.4%)

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ผลลัพธ์
อายุเฉลี่ยของการศึกษานักเรียน 22.9 ± 0.9 ปี .
% ของนักเรียนเกี่ยวกับยังคงระบุว่า การอ่านเป็นสิ่งสำคัญ
% ยังคงรู้ว่ามันมีผลกระทบต่อบุคลิกภาพและร้อยละ 92.4
รู้ว่ามันมีผลต่อคุณภาพของนักศึกษาแพทย์ มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างสอง
( โต๊ะเรียนปี 1

) เกือบครึ่งหนึ่งของนักเรียน ( Top ไม่มั่นใจ
% )กับนิสัยรักการอ่านของพวกเขาและ 67.6% ของพวกเขาพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง
; มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองปี
( p = 0.007 ) และ 0.044 ตามลำดับ ) สามในสี่ของจํานวนนักศึกษา
( 75.2 % ) สงสัยว่าคะแนนของตนจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเอง
นิสัยรักการอ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าลดลงมีความสามารถ
พัฒนาดีกว่า ( ตารางที่ 2 ) .
นักเรียนส่วนใหญ่ระบุว่าพวกเขามีอุปสรรคและ
ความยากลำบากในวิทยาลัยของพวกเขาที่ป้องกันไม่ให้พวกเขาจากการอ่าน
( รวมถึงพร้อม เหมาะสม เตรียมสถานที่สำหรับการอ่าน
ยากที่จะเข้าถึงวัสดุที่ต้องการภายในห้องสมุด
unavailability ของจองรายการสำหรับแต่ละเรื่องและยุ่ง ) ,
เวลาไม่เพียงพอและแหล่งที่มา ( รวมทั้งปัญหาอุปสรรค
เพื่อให้ได้และอุปสรรคทางภาษา ) ; กับความแตกต่าง
ที่สำคัญระหว่าง 4 และ 5 ปี ( p = 0.03 , 0.03 , 0.002 ตามลำดับ )

( รูปที่ 1 ) ส่วนใหญ่นิยมใช้อ้างอิงทางการแพทย์หนังสือพ็อกเก็ต
( ร้อยละ 92.4 ) รองลงมา คือ มือ บรรยายละเอียด ( ร้อยละ 88.6 % )
อย่างน้อยหนึ่งบทความวารสาร ( 26.4 % )