พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักอักษรศาสตร์ ทรงสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับเรื่องศัพท์ ที่มาของศัพท์ และรากศัพท์ อีกทั้งยังสนพระราชหฤทัยและค้นคว้าเกี่ยวกับศัพท์ภาษาบาลีและสันสกฤต เพราะทรงเข้าพระราชหฤทัยว่า หากเข้าใจศัพท์และที่มาของศัพท์แล้วจะช่วยให้เข้าใจความหมายของธรรมะได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้ว่าพระองค์จะทรงเจริญพระชันษาในตางประเทศ แต่ก็ทรงมีพระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทยอย่างยอดเยี่ยม
พระเกียรติคุณด้านวรรณศิลป์ เป็นที่ประจักษ์ชัดจากภาษาและถ้อยคำที่ปรากฏในวรรณกรรม หรือในพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสในโอกาสต่างๆ ล้วนแสดงให้เห็นถึงถึงพระปรีชาญาณเป็นอย่างยิ่ง
พระอัจฉริยภาพด้านภาษาของพระองค์นั้น ปรากฏแก่สายตาชาวไทยในพระราชนิพนธ์หลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชนิพนธ์เรื่อง "พระมหาชนก" ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในปีพุทธศักราช 2539 นั้นถือเป็นพระราชนิพนธ์ที่สำคัญยิ่งสำหรับคนไทย ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า
"...หนังสือนี้เป็นที่รักของข้าพเจ้า หนังสือนี้ไม่ีมที่เปรียบและจะเป็นที่ร่าเริงใจของผู้อ่าน
ต้องการใหเห็นว่า สำคัญที่สุดคนเราทำอะไรต้องมีความเพียร
ของจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาเฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์..."
ที่มาของพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก คือเมื่อปีพุทธศักราช 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสดับพระธรรมเทศนาเรื่อง "พระมหาชนก" ของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธัมมสาโร) วัดราชผาติการาม ตอนที่ "พระมหาชนกเสด็จประพาสอุทยานในกรุงมิถิลา ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วง 2 ต้น ต้นหนึ่งมีผล พระองค์ทรงลิ้มรสมะม่วงอันโอชา และเสด็จฯ เยี่ยมอุทยาน เมื่อเสด็จกลับ ทอดพระเนตรเป็นต้นมะม่วงที่มีผล ถูกข้าราชบริพารดึงทึ้งจนโค่นล้ม ส่วนต้นที่ไม่มีผล ยังคงตั้งตระหง่านสง่างาม พระมหาชนกจึงทรงบังเกิดธรรมสังเวช และดำริจะเสด็จออกผนวช