Over the chemise, women wore a loos

Over the chemise, women wore a loose or fitted gown called a cotte or kirtle, usually ankle or floor-length, and with trains for formal occasions. Fitted kirtles had full skirts made by adding triangular gores to widen the hem without adding bulk at the waist. Kirtles also had long, fitted sleeves that sometimes reached down to over the knuckles.

Various sorts of overgowns were worn over the kirtle, and are called by different names by costume historians. When fitted, this garment is often called a cotehardie (although this usage of the word has been heavily criticized[26]) and might have hanging sleeves and sometimes worn with a jeweled or metalworked belt. Over time, the hanging part of the sleeve became longer and narrower until it was the merest streamer, called a tippet, then gaining the floral or leaflike daggings in the end of the century.

Sleeveless overgowns or tabards derive from the cyclas, an unfitted rectangle of cloth with an opening for the head that was worn in the 13th century. By the early 14th century, the sides began to be sewn together, creating a sleeveless overgown or surcoat.

Outdoors, women wore cloaks or mantles, often lined in fur. The Houppelande was also adopted by women late in the century. Women invariably wore their Houppelandes floor-length, the waistline rising up to right underneath the bust, sleeves very wide and hanging, like angel sleeves.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ผ่าน chemise หญิงสวมชุดแบบหลวม หรือผ่อนที่เรียกว่า cotte หรือ kirtle ปกติข้อเท้า หรือ ยาวชั้น และรถไฟสำหรับโอกาสที่เป็นทางการ Kirtles จัดเต็มกระโปรงทำ โดยเพิ่มสามเหลี่ยมกอร์ถ่างเฮ็มโดยไม่เพิ่มจำนวนมากที่พุงได้ นอกจากนี้ kirtles ยังมีแขนยาว ผ่อนที่บางครั้งถึงลงไปอย่างรุนแรงประเภทต่าง ๆ ของ overgowns ถูกสวมใส่มากกว่า kirtle และเรียกชื่อแตกต่างกันโดยนักประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกาย เมื่อติดตั้ง เสื้อผ้านี้มักจะเรียกเป็น cotehardie (แม้ว่าการใช้คำนี้ได้รับมาก criticized[26]) และอาจแขวนแขน และสวมใส่กับเข็มขัด jeweled หรือ metalworked บางครั้ง ช่วงเวลา ส่วนแขวนของแขนก็ยาว และแคบลงจนมันเป็น merest streamer เรียก tippet ได้รับ daggings leaflike หรือดอกไม้ในตอนท้ายของศตวรรษแล้วเสื้อ overgowns หรือ tabards มาจาก cyclas สี่เหลี่ยมผืนผ้า unfitted ผ้าด้วยการเปิดหัวที่ถูกสวมใส่ในศตวรรษ 13 โดยช่วงศตวรรษที่ 14 ด้านเริ่มเย็บเข้าด้วยกัน สร้าง overgown เสื้อ surcoatกลางแจ้ง ผู้หญิงสวม cloaks หรือ mantles มักจะมีเส้นในขน ยัง Houppelande ถูกนำ โดยผู้หญิงในศตวรรษ ผู้หญิงเกิดสวม Houppelandes ชั้นความยาวของ เอวที่เพิ่มขึ้นถึงทางใต้หน้าอก แขนมาก และแขวน เช่นเทวดาแขน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เสื้อชั้นในสตรีกว่าผู้หญิงสวมชุดหลวมหรือติดตั้งที่เรียกว่า Cotte หรือ kirtle มักข้อเท้าหรือพื้นที่มีความยาวและมีรถไฟสำหรับโอกาสที่เป็นทางการ ติดตั้ง kirtles มีเต็มกระโปรงทำโดยการเพิ่มรูปสามเหลี่ยมกอร์จะขยายปิดล้อมโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนมากที่เอว Kirtles ยังมียาวแขนพอดีว่าบางครั้งการเอื้อมมือลงไปกว่านิ้วได้. ประเภทต่างๆของ overgowns ถูกสวมใส่มากกว่า kirtle และมีการเรียกชื่อที่แตกต่างกันโดยนักประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกาย เมื่อติดตั้ง, เสื้อผ้านี้เรียกว่ามักจะเป็น cotehardie (แม้ว่าการใช้คำนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก [26]) และอาจมีแขนห้อยและการสวมใส่บางครั้งก็มีประดับด้วยเพชรพลอยหรือเข็มขัด metalworked เมื่อเวลาผ่านไปส่วนที่ห้อยแขนกลายเป็นอีกต่อไปและแคบจนมันเป็นลำแสง merest เรียกว่าผ้าพันคอแล้วดึงดูด daggings ดอกไม้หรือ leaflike ในตอนท้ายของศตวรรษที่. แขนกุด overgowns หรือ tabards เป็นผลมาจาก cyclas ที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า unfitted ผ้าด้วยการเปิดหัวที่สวมใส่ในศตวรรษที่ 13 โดยในช่วงต้นศตวรรษที่ 14 ด้านข้างเริ่มที่จะเย็บติดกันสร้าง overgown แขนกุดหรือทับ. นอกผู้หญิงสวมเสื้อคลุมหรือผ้ายกดอกเรียงรายมักจะอยู่ในที่ทำจากขนสัตว์ Houppelande ยังถูกนำมาใช้โดยผู้หญิงในช่วงปลายศตวรรษ ผู้หญิงอย่างสม่ำเสมอสวม Houppelandes ชั้นยาวของพวกเขารอบเอวเพิ่มขึ้นไปทางขวาใต้หน้าอกแขนกว้างมากและที่แขวนเช่นแขนทูตสวรรค์

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ผ่านซับใน , ผู้หญิงใส่ชุดหลวมหรือพอดี เรียกว่า คอตเตหรือ kirtle มักจะข้อเท้าหรือความยาวของพื้น และรถไฟ สำหรับโอกาสที่เป็นทางการ พอดี kirtles มีกระโปรงเต็มรูปแบบโดยการเพิ่มสามเหลี่ยมกอร์สขยายขอบโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนมากที่เอว kirtles มีเข็มขัด แขนยาว บางครั้งถึงผ่านอย่างรุนแรง

ประเภทต่างๆของ overgowns มีสังฆาฏิ kirtle และเรียกกันโดยชื่อที่แตกต่างกันโดยนักประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกาย เมื่อติดตั้ง , เสื้อผ้านี้มักจะเรียกว่าคอทฮาร์ได ( แม้ว่าการใช้คำได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก [ 26 ] ) และอาจต้องห้อยแขนและบางครั้งใส่กับเพชรพลอย หรือ metalworked เข็มขัด ตลอดเวลาส่วนของแขนห้อยยาว และแคบลง จนกระทั่งกลายเป็นลำแสง merest เรียกว่าทิปเปต ก็ดึงดูด daggings ดอกไม้หรือ leaflike ในตอนท้ายของศตวรรษที่

เสื้อ overgowns หรือ tabards สืบทอดจาก cyclas , unfitted สี่เหลี่ยมผืนผ้าจากผ้าที่มีการเปิดสำหรับหัวที่ถูกสวมใส่ในศตวรรษที่ 13 . โดยศตวรรษที่ 14 ต้น ด้านข้างเริ่มถูกเย็บเข้าด้วยกันการสร้าง overgown เสื้อหรือเสื้อคลุม

กลางแจ้ง , ผู้หญิงสวมใส่ cloaks หรืออับอายขายหน้า มักเรียงรายในขน การ houppelande เป็นลูกบุญธรรมโดยผู้หญิงในช่วงปลายศตวรรษที่ ผู้หญิงต้องใส่ของ houppelandes พื้นความยาว , รอบเอวเพิ่มขึ้นถึงใต้หน้าอกขวา , แขนกว้างมากและแขนห้อย เหมือนนางฟ้า