Very often dentists have to face a

Very often dentists have to face a pregnant woman's
anxiety—along with her family's anxiety—over the
matter of the safety of dental treatment during pregnancy
[1]. This is due to a series of wrong assumptions
that have been made and perpetuated by the
lack of proper information, as well as by some dental
professionals who consider dental treatments to
be possibly dangerous for the fetus [2,3]. However,
it is beyond doubt that dental treatment during
pregnancy is not only safe, but also necessary.
Ideally, during prenatal testing, the pregnant
woman should be referred to a dentist.
Unfortunately, up to now, there have been no such
official guidelines in any country. Maintaining the
expectant mother's oral health is important both for
her own health and for that of the fetus. A typical
example, which has been the subject of much
research, is the relationship between periodontal
disease and the increased risk of pre-term birth and
low birthweight [4-8]. The relationship between
early childhood caries (ECC) and the transmission
of bacteria from the maternal oral flora to the baby
has increased efforts to promote oral health during
pregnancy and the perinatal period [9]. Although
there has been improvement in the dental care of
pregnant women during the past decades, inequalities
and erroneous perceptions concerning the
importance of dental care during pregnancy still
exist, affecting mainly the socio-economically
deprived in the population [10,11].
Many organisations, including the American
Dental Association (ADA), the American
Academy of Pediatrics (AAP), and the American
Academy of Pediatric Dentistry (AAPD), have
developed protocols and norms in order to improve
the oral health of pregnant women and babies. They
stress that pregnancy is not a disease, thus pregnant
women should not be treated differently than the
general population.
Health care professionals (physicians and dentists)
should collaborate to develop comprehensive
prenatal testing protocols, including complete treatment
plans, which aim to prevent any problems and
restore the pregnant woman's oral health. These
protocols should also aim to inform the pregnant
woman appropriately so that she will be able to
look after the newborn baby's oral health [2].

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ทันตแพทย์มากมักจะต้องเผชิญของหญิงตั้งครรภ์ความวิตกกังวล — พร้อมกับความวิตกกังวลของครอบครัว — ผ่านการเรื่องของความปลอดภัยของการรักษาทางทันตกรรมในระหว่างตั้งครรภ์[1] ทั้งนี้เนื่องจากชุดของสมมติฐานผิดที่ได้ทำ และชุลมุนโดยการขาดข้อมูลที่เหมาะสม เช่นเดียว กับฟันบางผู้เชี่ยวชาญที่รักษาทางทันตกรรมในการพิจารณาได้อาจจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ [2, 3] อย่างไรก็ตามเป็นต้องสงสัยเลยว่าการรักษาทางทันตกรรมในระหว่างตั้งครรภ์ไม่เพียงแต่ปลอดภัย แต่ยังจำเป็นในระหว่างการคลอดการทดสอบ การตั้งครรภ์ผู้หญิงควรเรียกว่าทันตแพทย์อับ ถึงตอนนี้ มีการดังกล่าวไม่แนวทางที่เป็นทางการในประเทศใด การรักษาครรภ์ของสุขภาพช่องปากเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งสุขภาพของเธอเอง และของทารกในครรภ์ แบบทั่วไปตัวอย่าง ที่ได้รับเรื่องของมากวิจัย ความสัมพันธ์ระหว่างปริทันต์คือโรคและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของระยะก่อนคลอด และต่ำ birthweight [4-8] ความสัมพันธ์ระหว่างฟันผุปฐมวัย (ECC) และการส่งของแบคทีเรียจากพืชทางปากมารดาทารกเพิ่มความพยายามในการส่งเสริมสุขภาพช่องปากในระหว่างตั้งครรภ์และระยะปริกำเนิด [9] ถึงแม้ว่ามีการปรับปรุงในการดูแลทันตกรรมหญิงตั้งครรภ์ในช่วงทศวรรษ นัดและรับรู้ข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการความสำคัญของการดูแลทันตกรรมในระหว่างตั้งครรภ์ยังมีอยู่ ส่งผลกระทบต่อหลักการเศรษฐกิจและสังคมขาดในประชากร [10,11]หลายองค์กร รวมทั้งอเมริกันสมาคมทันตกรรม (ADA), อเมริกันสถาบันกุมารเวช (AAP), และอเมริกันมีสถาบันการศึกษาของทันตกรรม (AAPD),พัฒนาโปรโตคอลและบรรทัดฐานเพื่อปรับปรุงสุขภาพช่องปากหญิงตั้งครรภ์และทารก พวกเขาความเครียดที่ว่า ตั้งครรภ์ไม่ใช่โรค ตั้งครรภ์ดังนั้นผู้หญิงไม่ควรรักษาแตกต่างกว่าการประชากรทั่วไปบุคลากร (แพทย์และทันตแพทย์)ควรร่วมมือกันพัฒนาครอบคลุมโปรโตคอลการทดสอบก่อนคลอด รวมทั้งการรักษาที่สมบูรณ์แผน ที่หมายถึงป้องกันปัญหา และคืนสุขภาพช่องปากของหญิงตั้งครรภ์ เหล่านี้โปรโตคอควรช่วยกันแจ้งการตั้งครรภ์ผู้หญิงอย่างเหมาะสมเพื่อที่เธอจะได้ดูแลสุขภาพช่องปากของทารกแรกเกิด [2]

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ทันตแพทย์มากมักจะต้องเผชิญหญิงตั้งครรภ์
ความวิตกกังวลพร้อมกับครอบครัวของเธอความวิตกกังวลมากกว่า
เรื่องของความปลอดภัยของการรักษาทางทันตกรรมในระหว่างตั้งครรภ์
[1] เพราะนี่คือชุดของสมมติฐานที่ผิด
ที่ได้ทำและชุลมุนโดย
ขาดข้อมูลที่เหมาะสมเช่นเดียวกับทันตกรรมบางอย่าง
มืออาชีพที่ต้องพิจารณาในการรักษาทางทันตกรรม
อาจจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ [2,3] แต่
มันอยู่นอกเหนือข้อสงสัยว่าการรักษาทางทันตกรรมในระหว่าง
การตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นเพียงความปลอดภัย แต่ยังจำเป็น.
จะเป็นการดีในระหว่างการทดสอบก่อนคลอดการตั้งครรภ์
ผู้หญิงควรจะเรียกหมอฟัน.
แต่น่าเสียดายที่ถึงตอนนี้ยังไม่มีการเช่น
แนวทางอย่างเป็นทางการใน ทุกประเทศ. การดูแลรักษา
สุขภาพช่องปากของหญิงมีครรภ์เป็นสิ่งสำคัญทั้งสำหรับ
สุขภาพของเธอเองและการที่ของทารกในครรภ์ โดยทั่วไป
เช่นซึ่งได้รับเรื่องของมาก
การวิจัยคือความสัมพันธ์ระหว่างปริทันต์
โรคและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดก่อนระยะและ
น้ำหนักแรกเกิดต่ำ [4-8] ความสัมพันธ์ระหว่าง
การเกิดฟันผุปฐมวัย (ECC) และการส่งผ่าน
ของเชื้อแบคทีเรียจากพืชในช่องปากของมารดาไปยังทารก
ได้เพิ่มความพยายามในการส่งเสริมสุขภาพช่องปากในระหว่าง
การตั้งครรภ์และระยะปริกำเนิด [9] แม้ว่าจะ
ได้มีการปรับปรุงในการดูแลทันตกรรมของ
หญิงตั้งครรภ์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาความไม่เท่าเทียมกัน
และการรับรู้ที่ผิดพลาดเกี่ยวกับ
ความสำคัญของการดูแลทันตกรรมในระหว่างตั้งครรภ์ยังคง
มีอยู่ส่งผลกระทบต่อส่วนใหญ่ทางสังคมและเศรษฐกิจ
ที่ถูกลิดรอนในประชากร [10,11].
หลายองค์กร รวมทั้งชาวอเมริกัน
สมาคมทันตกรรม (ADA) อเมริกัน
Academy of Pediatrics (AAP) และ American
Academy of ทันตกรรมสำหรับเด็ก (AAPD) ได้
รับการพัฒนาโปรโตคอลและบรรทัดฐานเพื่อปรับปรุง
สุขภาพช่องปากของหญิงตั้งครรภ์และทารก พวกเขา
เน้นว่าการตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นโรคจึงตั้งครรภ์
ผู้หญิงไม่ควรได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันกว่า
ประชากรทั่วไป.
ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ (แพทย์และทันตแพทย์)
ควรทำงานร่วมกันในการพัฒนาที่ครอบคลุม
การทดสอบโปรโตคอลก่อนคลอดรวมถึงการรักษาที่สมบูรณ์
แผนซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาใด ๆ และ
ฟื้นฟูสุขภาพช่องปากของหญิงตั้งครรภ์ เหล่านี้
โปรโตคอลนอกจากนี้ยังควรมีจุดมุ่งหมายที่จะแจ้งให้ตั้งครรภ์
ผู้หญิงอย่างเหมาะสมเพื่อที่เธอจะสามารถที่จะ
ดูแลสุขภาพช่องปากของทารกแรกเกิด [2]