การวิจัยในครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive ) ที่ศึกษาเฉพาะกรณีระยะสั้น (One Short Study) เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตามความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตามแนวทางการปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะของพยาบาลโรงพยาบาลโนนสูงเปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตามการรับรู้ของพยาบาลดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะที่มีอายุงาน และแผนกงานที่แตกต่างกันโดยเก็บข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามของพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะ ในโรงพยาบาลโนนสูง จำนวน 46 คนเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษารวบรวมข้อมูลครั้งนี้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป( ลักษณะประชากร)แบบวัดความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะและแนวทางการดูแล แบบวัดทัศนคติต่อการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะ และการปฏิบัติตนของพยาบาลตามแนวทางดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะ มีค่า IOC ของแบบสอบถามทั้งฉบับได้เท่ากับ 0.92และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.654 และ0.654ตามลำดับโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ในการวิเคราะห์หาความถี่ (Frequency Distribution) และค่าร้อยละ (Percentage) และ สถิติที่ใช้ในการทดสอบความแตกต่างใช้แบบไม่อิงพารามิเตอร์โดยใช้การทดสอบ Kruskal Wallis One-way Analysis of varianceและการทดสอบแมนวิทเนย์(Mann-Whitney U test)ทดสอบความสัมพันธ์
ผลการวิจัยพบว่าพยาบาลวิชาชีพที่เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะมีระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะส่วนใหญ่มีระดับความรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง(63.04%) ในด้านทัศนคติส่วนใหญ่ระดับดี (65.22%)และในด้านการปฏิบัติตามแนวทางการดูแลผู้ป่วยส่วนใหญ่ระดับดี (60.87%)เมื่อเปรียบเทียบความรู้ทัศนคติเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะและพฤติกรรมการปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพที่เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะพบว่าแผนกที่ปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์กับความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 พยาบาลที่มีประสบการณ์ >5 ปีมีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติตามแนวทางในการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05เมื่อวิเคราะห์รายข้อของข้อมูลแบบสอบถามด้านความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะตามการรับรู้ของพยาบาลวิชาชีพพบว่าพยาบาลส่วนใหญ่มีความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในเรื่องการส่งต่อผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะต้องส่งต่ออาการล่วงหน้ากับจุดบริการที่รับการส่งต่ออยู่ในระดับมากที่สุด แสดงถึงการที่พยาบาลมีความรู้มากในเรื่องใด เรื่องหนึ่งมาก จะส่งผลให้มีทัศนคติที่ดี จนทำให้เกิดการปฏิบัติตามมาได้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอว่าจึงควรมีการจัดอบรมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะให้กับพยาบาลวิชาชีพที่เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะให้มีคุณภาพ และมีความยั่งยืนต่อไป
คำสำคัญความรู้ การรับรู้ทัศนคติการปฏิบัติ พยาบาลวิชาชีพ การบาดเจ็บที่ศีรษะ