On one end of the tube was the cath

On one end of the tube was the cathode, which emitted cathode rays. The rays would pass through two metal slits - first slit acted as the anode while the second slit was connected to the earth. the two parallel aluminium plates were connect in an electric field between the plates, used to bend the cathode rays. On the other end of the tube was a large glass sphere. Cathode rays that hit the sphere would create a fluorescent patch. THOMSON pasted a scale on the surface of the sphere to Measure the deflection of the cathode rays.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

บนปลายด้านหนึ่งของท่อมี แคโทดซึ่งรังสีแคโทดเปล่งออกมา แสงจะผ่านผ่าน slits โลหะสอง - ร่องแรกดำเนินเป็นขั้วบวกในขณะที่ร่องที่สองถูกเชื่อมต่อกับโลก อลูมิเนียมเส้นขนานสองแผ่นได้เชื่อมต่อในเขตไฟฟ้าระหว่างแผ่น ใช้แผลงรังสีแคโทด อีกปลายหนึ่งของท่อเป็นทรงกลมแก้วใหญ่ รังสีแคโทดที่ตีอยู่จะสร้างแพทช์เรืองแสง ทอมวางมาตราการบนพื้นผิวของทรงกลมวัด deflection ของรังสีแคโทด

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ปลายด้านหนึ่งของหลอดเป็นแคโทดซึ่งปล่อยออกมารังสีแคโทด รังสีจะผ่านสองช่องโลหะ - ช่องแรกที่ทำหน้าที่เป็นขั้วบวกในขณะที่ช่องที่สองได้รับการเชื่อมต่อกับโลก สองแผ่นอลูมิเนียมแบบขนานมีการเชื่อมต่อในสนามไฟฟ้าระหว่างแผ่นเปลือกโลกที่ใช้ในการโค้งงอรังสีแคโทด ในส่วนอื่น ๆ ของหลอดเป็นทรงกลมแก้วขนาดใหญ่ รังสีแคโทดที่ตีทรงกลมจะสร้างแพทช์เรืองแสง THOMSON ขนาดวางบนพื้นผิวของทรงกลมการวัดการโก่งตัวของรังสีแคโทด

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ที่ปลายด้านหนึ่งของหลอดแคโทดซึ่งปล่อยรังสีแคโทด รังสีจะผ่านโลหะสองช่อง - ปาดแรกทำหน้าที่เป็นแอโนด ในขณะที่ช่องที่สองที่เชื่อมต่อกับโลก สองขนานอลูมิเนียมแผ่นถูกเชื่อมต่อในสนามไฟฟ้าระหว่างแผ่น ใช้งอหลอดรังสี ปลายท่อทรงกลมแก้วใหญ่รังสีแคโทดที่ตีทรงกลมจะสร้างแผ่นเรืองแสง ทอมสันวางมาตราส่วนบนพื้นผิวของทรงกลมในการวัดการหักเหของรังสีแคโทด .