ที่มาของการแกะสลักในหมู่บ้านกิ่วแลน้อย
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2497 บ้านกิ่วแลน้อยเป็นหมู่บ้านที่ทุรกันดาร การคมนาคมไม่สะดวก มีช่างฝีมือด้านการแกะสลัก คือพ่อบุญมี ท้าวปินตา บ้านเดิมอยู่ข้างวัดดาวดึงส์ อำเภอเมือง เชียงใหม่บิดาคนจีน มารดาเป็นคนพื้นเมือง พ่อบุญมีรักชีวิตอิสระ ได้ถูกพ่อแม่บังคับให้ไปสอบเป็นปลัดอำเภอ และสอบได้ แต่ไม่ต้องการไปเป็นปลัด จึงหนีออกจากบ้าน และได้ปลีกตัวมาอาศัยอยู่ที่วัดห้วยแก้ว อ.แม่วาง(ปัจจุบัน) และได้มาพบกะ แม่เลขา ซึ่งได้ขึ้นชื่อเป็นนางงามสันป่าตอง สาวงามแห่งบ้านกิ่วแลน้อย จนได้แต่งงานกัน และได้สร้างครอบครัวอยู่ที่หมู่บ้านนี้ จากการที่มีฐานะยากจน ไม่มีอะไรเลย นอกจากการที่มีใจรักในงานศิลปะ ประกอบมีฝีมือที่เกิดจากพรสวรรค์ และมีพรแสวงในการเรียนรู้ภูมิปัญญาสร้างสรรค์ผลงาน จึงได้ฝึกฝนสร้างงานด้วยตนเอง คือ การแกะสลักช้าง จึงได้คิดริเริ่มประกอบอาชีพแกะสลักช้างเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว ประกอบกับในสมัยนั้น มีตอไม้สัก และไม้สักอยู่มากมายตามป่า หรือหัวไร่ปลายนา รวมถึง มีคนลากไม้มาให้พ่อบุญมีจำนวนมากเพื่อต้องการให้พ่อแกะสลักช้างให้โดยแลกกับไม้ที่ลากมาให้เป็นจำนวนมากมาย จากการที่ท่านมีความวิริยะ อุตสาหะ ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวมั่นคงเป็นปึกแผ่น ท่านจึงได้ยึดอาชีพขายงานฝีมือและแกะสลักเป็นอาชีพหลัก เปิดร้านขายงานศิลปะแกะสลัก ชื่อร้านบุญมีแกะสลัก บ้านทุ่งอ้อ ตำบลสันกลาง บนถนนสายเชียงใหม่-ฮอด ซึ่งในสมัยนั้นเป็นร้านที่มีชื่อเสียงมาก ในแวดวงของงานฝีมือแกะสลัก นอกจากจะมีอาชีพด้านแกะสลักแล้ว พ่อบุญมียังคิดที่จะถ่ายทอดวิชาการแกะสลักช้างให้กับเด็ก เยาวชน ชาวบ้านที่สนใจ โดยไม่คิดค่าวิชาเพื่อเป็นวิทยาทาน ในงานอาชีพ และให้คนในพื้นที่มีรายงานเพิ่มขึ้น ในช่วงว่างเว้นจากการทำนา ทำสวน ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของงานอาชีพแกะสลัก ในพื้นที่อำเภอสันป่าตอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ได้มีร้านค้ามาติดต่อซื้อขายงานฝีมือแกะสลักของท่าน คือ ร้านนารายณ์ภัณฑ์และห้างเซ็นทรัล กรุงเทพมหานคร และทางร้านนารายณ์ภัณฑ์ได้ส่งผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลักเข้าประกวด ปรากฏว่า ฝีมืองานหัตถกรรมของท่านได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้รับเหรียญทองพร้อมเกียรติบัตรกำลังใจในครั้งนี้ทำให้พ่อบุญมี ท้าวบุญตา ได้คิดและมุ่งมั่นถ่ายทอดวิชาความรู้ทางด้านช่างแกะสลักให้กับชาวบ้านกิ่วแลน้อย เพื่อให้มีอาชีพสร้างรายได้จุนเจือครอบครัว และทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อมาพ่อคำปัน ทองตัน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้น ได้เห็นว่าอาชีพแกะสลักไม้ จะเป็นอาชีพหนึ่งที่ทำรายได้ได้ดี จึงติดต่อพ่อครูตา ธรรมรังษี ซึ่งได้ติดตามพ่อแม่ไปตั้งรกราก อยู่ที่อำเภอฝาง และกลับมาเพื่อจะอนุรักษ์ภูมิปัญญาของบิดามารดาที่บ้านเกิด คือ บ้านกิ่วแลน้อย ให้สอนความรู้เพิ่มเติมให้กับคนในหมู่บ้าน ในการและสลักเป็นลายไทยก่อนแล้วสืบทอดกันมา ตัวอย่างบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถด้านการแกะสลักเช่น พ่อหนานธงชัย(เสียชีวิต) และแม่บัวเกี๋ยง กิ่วแก้ว เป็นครูสอนแกะภาพทางด้านพุทธประวัติและวรรณคดีต่างๆ เช่น ลายรามเกียรติ์ พ่อบุญทา ตุ่นจาเรือน แกะทางด้านทำโต๊ะ เก้าอี้ ชุดรับแขก แผ่นภาพวิวสามมิติ พ่อหนานอินสวย ถึงป๋อง แกะสลักรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น ช้าง เสือ สิงห์ กระทิง แรด นายอนันต์ มณีทอง นายจรัญ มานะวงศ์ นายณรงค์ สุขสวัสดิ์ นายอุ่นเรือน อินตา เป็นต้น
ในสมัยโบราณมีการใช้ช้างในการทำสงคราม ซึ่งถือว่าช้างนั้นเป็นกำลังสำคัญในการสู้ศึกเพื่อเอกราชของไทยเลยก็ว่าได้ การใช้ช้างในการทำสงครามนั้นได้มีการกล่าววิธีการต่อสู้เอาไว้ว่าพระเจ้าแผ่นดินหรือแม่ทัพก็จะใช้อาวุธของ้าวต่อสู้กันบนหลังช้าง ส่วนช้างที่ใช้ต่อสู้นั้นก็จะต่อสู้กับช้างของศัตรูช้างผู้ใดที่มีกำลังมากและสามารถสู้งัดช้างของศัตรู ก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบเพราะจะทำให้แม่ทัพนั้นสามารถใช้ของ้าวฟันคู่ต่อสู้ได้อย่างสะดวกและได้ชัยชนะ ซึ่งการรับชัยชนะนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของช้างและแม่ทัพด้วย ช้างศึกในสมัยโบราณนั้นมีมากมายหลายรัชสมัยโดยเริ่มจากสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อครั้งสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในสมัยนี้พระองค์ได้รับช้างเผือกมาตัวหนึ่งซึ่งถือเป็นช้างเผือกแรกของกรุงศรีอยุธยา เลยก็ว่าได้จนพระองค์ได้รับพระราชสมัญญาอีกพระนามหนึ่งว่า พระเจ้าช้างเผือกและในสมัยพระมหาจักรพรรดิทรงใช้ช้างต่อสู้กับกองทัพของพม่าและได้เกิดตำนานพระศรีสุริโยทัยขึ้น นอกจากนี้ยังมีการรบบนหลังช้างที่สำคัญกับคนไทยมากที่สุดซึ่งถือเป็นการกู้เอกราชให้กับประเทศไทยเลยก็ว่าได้นั่นคือในสมัยสมเด็จ พระนเรศวรมหาราชซึ่งเป็นการรบระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดีโดยช้างที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้ในการทำศึกครั้งนี้คือเจ้าพระยาไชยานุภาพและเมื่อได้รับชัยชนะก็ได้สมญานามว่า เจ้าพระยาปราบหงสา ส่วนช้างที่พระสมเด็จพระเอกาทศรถผู้น้องทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร และต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีเมื่อครั้งที่ประชาชนเกิดความแตกแยกข้าศึกเข้าโจมตี พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นกำลังรวบรวมชาติไทยให้เป็นปึกแผ่นโดยทรงใช้ช้างในการรบด้วยเช่นกัน
จากเศษซากไม้ถูกนำมาแกะสลักทีละเล็กทีละน้อย รังสรรค์เป็นศิลปะไม้แกะสลัก 3 มิติแสนล้ำค่าสุดอัศจรรย์ ด้วยสองมือของศิลปินเอกแดนล้านนาที่สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นให้กลายเป็นอาชีพที่มั่นคง โดยผลงานที่ออกมาแสดงถึงชั้นเชิงความสามารถอันเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ
การแกะสลักช้างไม้ลีลา โครงสร้าง สัดส่วน จะดูสมส่วนและได้มาตรฐาน มีความละเอียด อ่อนช้อย ในลวดลาย ราวกับมีชีวิต ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ช้างยืน ในท่าทาง หลากหลายอิริยาบถ หลายขนาด ช้างอึ่ง (เป็นช้างที่นำไปปรับประยุกต์เป็นเก้าอี้ ที่วางของ แกะสลักช้างจากไม้แผ่น ลายช้างป่าหิมพานต์ ลายชนบท ลายไทย กรอบรูป
ไม้แกะสลัก บ้านกิ่วแลน้อย อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เล่าว่า ท้องถิ่นบ้านเกิดยึดอาชีพทำไม้แกะสลักมายาวนาน สืบทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น โดยส่วนใหญ่แทบทุกบ้านจะทำสินค้าที่ระลึกโดยเฉพาะช้างไม้แกะสลัก เอกลักษณ์ประจำจังหวัดขายแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ