Background and Purpose— Pneumonia h

Background and Purpose— Pneumonia has been estimated to occur in about one third of patients after acute stroke. Only limited data are available on stroke-associated pneumonia (SAP) in specialized neurological intensive care units (NICUs).

Methods— We enrolled 124 patients with acute stroke who were treated at our university hospital NICU in a prospective observational study. Incidence rates and risk factors of SAP and long-term clinical outcome were determined.

Results— SAP incidence was 21% with a spectrum of pathogens, which is comparable to previously published data on general ICU patients. Mechanical ventilation, multiple location, and vertebrobasilar stroke, as well as dysphagia and abnormal chest x-ray findings, were identified as risk factors for the disease. SAP patients showed higher mortality rates than nondiseased subjects (acute, 26.9% versus 8.2%; long-term, 35.3% versus 14.3%) and a significantly poorer long-term clinical outcome (Barthel Index, 50.5±42.4 versus 81.5±27.8; Rankin Scale, 3.5±1.7 versus 2.2±1.6).

Conclusions— Our data underline the considerable epidemiological and prognostic impact of SAP for the treatment of acute stroke patients in a specialized NICU setting. They demonstrate that the occurrence of SAP deteriorates clinical outcome in these patients. Our results allow us to identify high-risk stroke patients at time of NICU admission in whom the use of preventive treatment strategies is most promising.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

พื้นหลังและวัตถุประสงค์ — ประมาณปอดบวมเกิดขึ้นในประมาณหนึ่งในสามของผู้ป่วยหลังจากโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน เฉพาะข้อมูลที่จำกัดเกี่ยวข้องจังหวะปอดบวม (SAP) ในระบบประสาทเร่งรัดดูแลหน่วยพิเศษ (NICUs) ด้วยวิธี — เราลงทะเบียน 124 ผู้ป่วย ด้วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันที่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลของเรามหาวิทยาลัย NICU ในการศึกษาเชิงอนาคต กำหนดอัตราอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงของ SAP และผลลัพธ์ทางคลินิกระยะยาวผล — อุบัติการณ์ SAP ได้ 21% กับสเปกตรัมของเชื้อโรค ซึ่งจะเทียบเคียงกับข้อมูลที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ในผู้ป่วย ICU ทั่วไป เครื่องช่วยหายใจ หลาย ตำแหน่ง และ vertebrobasilar จังหวะ เป็นกลืนลำบาก และ ผลเอ็กซเรย์หน้าอกผิดปกติ ได้ระบุว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค SAP ผู้ป่วยพบว่าอัตราการตายสูงกว่าวัตถุ nondiseased (เฉียบพลัน 26.9% และ 8.2% ระยะยาว 35.3% เมื่อเทียบกับ 14.3%) และย่อมมากระยะยาวทางคลินิกผล (Barthel ดัชนี 50.5±42.4 และ 81.5±27.8 Rankin สเกล 3.5±1.7 และ 2.2±1.6)ข้อสรุป — ข้อมูลขีดเส้นใต้มากระบาดวิทยา และ prognostic ผลของ SAP การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันใน NICU เป็นพิเศษ พวกเขาแสดงให้เห็นว่า การเกิดขึ้นของ SAP จะผลทางคลินิกในผู้ป่วยเหล่านี้ ผลของเราช่วยให้เราสามารถระบุผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีความเสี่ยงสูงเวลาเข้า NICU จะมากที่สุดในคนที่ใช้กลยุทธ์การรักษาเชิงป้องกัน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ความเป็นมาและ Purpose- โรคปอดบวมได้รับการคาดว่าจะเกิดขึ้นในประมาณหนึ่งในสามของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันหลัง ข้อมูลที่ จำกัด เท่านั้นที่มีอยู่ในจังหวะที่เกี่ยวข้องปอดบวม (SAP) ในระบบประสาทเฉพาะหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก (NICUs). Methods- เราลงทะเบียนผู้ป่วย 124 โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันที่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหออภิบาลของเราในการศึกษาการสังเกตการณ์ในอนาคต อัตราอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงของ SAP และผลการรักษาในระยะยาวได้รับการพิจารณา. SAP อุบัติการณ์ Results- เป็น 21% กับสเปกตรัมของเชื้อโรคซึ่งก็เปรียบได้กับข้อมูลที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ในผู้ป่วย ICU ทั่วไป เครื่องช่วยหายใจหลายตำแหน่งและโรคหลอดเลือดสมอง vertebrobasilar เช่นเดียวกับการกลืนลำบากและหน้าอกผิดปกติ X-ray ค้นพบถูกระบุว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค ผู้ป่วย SAP แสดงให้เห็นว่าอัตราการตายสูงกว่าวิชา nondiseased (เฉียบพลัน 26.9% เมื่อเทียบกับ 8.2% ในระยะยาว 35.3% เมื่อเทียบกับ 14.3%) และผลการรักษาอย่างมีนัยสำคัญที่ยากจนกว่าในระยะยาว (Barthel ดัชนี 50.5 ± 42.4 เมื่อเทียบกับ 81.5 ± 27.8; คิ่ ขนาด 3.5 ± 1.7 เมื่อเทียบกับ 2.2 ± 1.6). Conclusions- ข้อมูลของเราขีดเส้นใต้ผลกระทบทางระบาดวิทยาและการพยากรณ์โรคมากของ SAP สำหรับการรักษาของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันในการตั้งค่าเฉพาะ NICU พวกเขาแสดงให้เห็นว่าการเกิดขึ้นของ SAP เสื่อมผลทางคลินิกในผู้ป่วยเหล่านี้ ผลของเราช่วยให้เราสามารถระบุผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีความเสี่ยงสูงในเวลาของการเข้ารับการรักษาในหออภิบาลผู้ที่ใช้กลยุทธ์การรักษาป้องกันคือมีแนวโน้มมากที่สุด