The assessment of oral hygiene stat

The assessment of oral hygiene status revealed more than sixty percent (62.8%) of the subjects had good oral hygiene, over a third had fair oral hygiene and none of the patients presented with poor oral hygiene. This study revealed no statistically significant gender differences in the distribution of oral hygiene status among these orthodontic patients even though the mean oral hygiene, debris and calculus indices were slightly higher among the males than females. The subjects aged between 11-20 years old exhibited a significantly highest level of good and fair oral hygiene status. The satisfactory oral health status observed in this study therefore suggested a good ability of these orthodontic patients to control and reduce plaque accumulation around their fixed appliances. This study also revealed that the significant majority of the subjects brushed their teeth twice daily which were also consistent with high frequency of subjects with good oral hygiene. The good oral hygiene status observed among these subjects could possibly be attributed to their dental awareness and positive attitude towards oral health since most individuals who seek orthodontic treatment desire improved dental aesthetics, oral function, optimal oral health and psychological well-being [1].Routine provision of information on oral hygiene and home care instructions to the intending orthodontic patients pre-treatment at the consultant orthodontists’ clinic may also be contributory. This present study is however in contrast to the findings of Atassi and Awartani [10] who reported unsatisfactory oral hygiene in their orthodontic patients despite the fact that more than half of their patients (54%) brushed their teeth twice daily and one-fifth thrice daily. They further stated that frequency of tooth brushing alone cannot be used as a measure of the quality of oral hygiene but levels of patient’s education and motivation, and continuous reinforcement of oral home care are important factors in oral hygiene care. Hobson and Clark [11] also observed that even though many orthodontists advocate appropriate oral hygiene measures, the efficacy is largely determined by the patient’s motivation.
In a similar study among orthodontic patients in South western Nigeria using the same index by Greene and Vermillion [9], Onyeaso et al. [12] also reported a good oral hygiene in 59.6% of their orthodontic patients and 38.2% with fair oral hygiene which they attributed to their subjects attitudinal factors because of their relatively better dental awareness.
A high dental awareness and positive attitude towards oral health among patients therefore constitute significant contributory factors in achieving good oral hygiene status. It is also imperative to note that while the orthodontic patients have the responsibility to observe and maintain good oral hygiene, the orthodontists also have an important role to promote oral hygiene during orthodontic treatment which will include choice of more hygienic orthodontic appliances, provision of oral health education and advice about methods of plaque control, dietary advice, fluoride therapy, motivation and monitoring to ensure effectiveness of the oral hygiene regime with the aim of reducing plaque accumulation during treatment and prevention of corresponding adverse effects.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

การประเมินสถานะสุขภาพช่องปากที่เปิดเผยมากกว่า หกเปอร์เซ็นต์ (ร้อยละ 62.8) เรื่องการมีอนามัยช่องปากดี กว่าที่สามมีอนามัยช่องปากที่ดีและไม่มีผู้ป่วยที่นำเสนอ มีอนามัยช่องปากไม่ดี การศึกษานี้เปิดเผยไม่มีความแตกต่างเพศอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการกระจายสถานะสุขภาพช่องปากในผู้ป่วยเหล่านี้เดย์แม้สุขภาพช่องปากหมายถึง เศษและแคลคูลัสดัชนีสูงขึ้นเล็กน้อยระหว่างชายมากกว่าหญิง เรื่องอายุระหว่าง 11-20 ปีจัดแสดงระดับสูงสุดอย่างมีนัยสำคัญของสถานะสุขภาพช่องปากที่ดี และเป็นธรรม สถานะสุขภาพของช่องปากเป็นที่พอใจในการศึกษานี้ดังนั้นแนะนำความสามารถที่ดีของผู้ป่วยเหล่านี้เดย์การสะสมหินปูนรอบ ๆ เครื่องใช้ถาวรของพวกเขา การศึกษานี้ยังเปิดเผยว่า ส่วนใหญ่อย่างมีนัยสำคัญของหัวข้องานของฟันสองครั้งต่อวันซึ่งยังสอดคล้องกับความถี่สูงของเรื่องกับสุขภาพช่องปากดี อาจจะเกิดจากสถานะสุขภาพช่องปากดีที่สังเกตในเรื่องนี้ของฟันความรู้และทัศนคติในเชิงบวกต่อสุขภาพช่องปากเนื่องจากบุคคลส่วนใหญ่ที่หาอุปกรณ์ต้องดีทันตกรรมความสวยงาม ฟังก์ชันช่องปาก สุขภาพช่องปากที่เหมาะสม และจิตวิทยาสุขภาพ [1]การจัดข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและคำแนะนำการดูแลบ้านเจตนาผู้ป่วยเดย์ก่อนรักษาที่คลินิกของทันตแพทย์จัดฟันที่ปรึกษาประจำยังอาจ contributory การศึกษาปัจจุบันนี้ได้แต่ในทางตรงกันข้ามกับผลการวิจัยของ Atassi และ Awartani [10] ที่รายงานใช้สุขภาพช่องปากในผู้ป่วยของเดย์ทั้ง ๆ ที่กว่าครึ่งของผู้ป่วย (54%) งานการฟันสองครั้งต่อวันและ 1 5 ทุกวันเลย พวกเขาเพิ่มเติมระบุว่า ความถี่ของฟันแปรงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถใช้เป็นการวัดคุณภาพของสุขภาพช่องปากแต่ระดับของการศึกษาและแรงจูงใจของผู้ป่วย และเสริมแรงอย่างต่อเนื่องของการดูแลบ้านช่องปาก ปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพช่องปาก Hobson และคลาร์ก [11] นอกจากนี้ยังสังเกตว่า แม้ว่าทันตแพทย์จัดฟันหลายสนับสนุนมาตรการอนามัยช่องปากที่เหมาะสม ประสิทธิภาพจะส่วนใหญ่ถูกกำหนด โดยแรงจูงใจของผู้ป่วยในการศึกษาคล้ายกันในหมู่ผู้ป่วยเดย์ใต้ ไนจีเรียตะวันตกใช้ดัชนีเดียวกัน โดย Greene และ Vermillion [9], Onyeaso และ al. [12] ยังรายงานมีอนามัยช่องปากดีใน 59.6% ของผู้ป่วยของเดย์และ 38.2% กับสุขภาพช่องปากดีที่พวกเขาบันทึกปัจจัย attitudinal เรื่องของพวกเขาเนื่องจากความรู้ทันตกรรมของพวกเขาค่อนข้างดีความรู้ทันตกรรมสูงและทัศนคติในเชิงบวกต่อสุขภาพช่องปากในผู้ป่วยจึงเป็นปัจจัยสำคัญ contributory ในบรรลุสถานะสุขภาพช่องปากดี มีความจำเป็นหมายเหตุว่า ในขณะที่ผู้ป่วยเดย์มีความรับผิดชอบการปฏิบัติ และรักษาอนามัยช่องปากดี ทันตแพทย์จัดฟันยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพช่องปากในระหว่างรักษาเดย์ซึ่งจะรวมถึงการเลือกเครื่องใช้เดย์ถูกสุขอนามัยมากขึ้น การจัดการศึกษาสุขภาพช่องปากและคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการควบคุมหินปูน แนะนำอาหาร บำบัดฟลูออไรด์ แรงจูงใจ และตรวจสอบเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของระบอบสุขภาพช่องปาก มีจุดประสงค์เพื่อลดการสะสมของหินปูนระหว่างรักษา และป้องกันอาการข้างเคียงต่าง ๆ ที่สอดคล้องกัน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การประเมินสถานะสุขภาพช่องปากที่เผยให้เห็นมากขึ้นกว่าร้อยละหกสิบ (62.8%) ของอาสาสมัครที่มีสุขภาพช่องปากที่ดีมากกว่าหนึ่งในสามมีสุขอนามัยช่องปากที่เป็นธรรมและไม่มีผู้ป่วยจะมีสุขภาพช่องปากที่ไม่ดี การศึกษานี้ไม่พบความแตกต่างทางเพศอย่างมีนัยสำคัญในการกระจายของสถานะสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยทันตกรรมจัดฟันเหล่านี้แม้ว่าจะหมายถึงสุขอนามัยช่องปากเศษและดัชนีแคลคูลัสได้สูงขึ้นเล็กน้อยในหมู่เพศชายมากกว่าเพศหญิง อาสาสมัครที่มีอายุระหว่าง 11-20 ปีการจัดแสดงอย่างมีนัยสำคัญในระดับสูงสุดของสถานะสุขภาพช่องปากที่ดีและเป็นธรรม สถานะสุขภาพช่องปากที่น่าพอใจข้อสังเกตในการศึกษาครั้งนี้จึงแสดงให้เห็นความสามารถที่ดีของผู้ป่วยทันตกรรมจัดฟันเหล่านี้ในการควบคุมและลดการสะสมคราบจุลินทรีย์รอบเครื่องใช้คงที่ของพวกเขา การศึกษาครั้งนี้ยังพบว่าส่วนใหญ่อย่างมีนัยสำคัญของวิชาที่แปรงฟันวันละสองครั้งของพวกเขาซึ่งก็มีความสอดคล้องกับความถี่สูงของวิชาที่มีสุขอนามัยช่องปากที่ดี สถานะสุขอนามัยช่องปากที่ดีสังเกตในหมู่วิชาเหล่านี้อาจจะนำมาประกอบกับการรับรู้ทางทันตกรรมของพวกเขาและทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากตั้งแต่ประชาชนส่วนใหญ่ที่แสวงหาความปรารถนาดีขึ้นการจัดฟันทันตกรรมความงาม, ฟังก์ชั่นในช่องปาก, สุขภาพช่องปากที่ดีที่สุดและจิตใจเป็นอยู่ที่ดี [1] กิจวัตรประจำวันของการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและคำแนะนำการดูแลบ้านที่ตั้งใจผู้ป่วยทันตกรรมจัดฟันการรักษาก่อนที่คลินิกให้คำปรึกษาทันตแพทย์จัดฟัน 'ก็อาจจะมีส่วนช่วย การศึกษาครั้งนี้ในปัจจุบันมี แต่ในทางตรงกันข้ามกับผลการวิจัยของ Atassi และ Awartani [10] ที่รายงานสุขอนามัยช่องปากที่น่าพอใจในผู้ป่วยทันตกรรมจัดฟันของพวกเขาแม้จะมีความจริงที่ว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยของพวกเขา (54%) ของพวกเขาแปรงฟันวันละสองครั้งสามครั้งและหนึ่งในห้า ประจำวัน นอกจากนี้พวกเขาระบุว่าความถี่ของการแปรงฟันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของสุขอนามัยในช่องปาก แต่ระดับการศึกษาของผู้ป่วยและแรงจูงใจและเสริมแรงอย่างต่อเนื่องของการดูแลบ้านในช่องปากเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพช่องปาก โอกาสและคลาร์ก [11] นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าแม้ทันตแพทย์จัดฟันหลายสนับสนุนที่เหมาะสมมาตรการสุขอนามัยช่องปากประสิทธิภาพจะถูกกำหนดโดยส่วนใหญ่แรงจูงใจของผู้ป่วย.
ในการศึกษาที่คล้ายกันในกลุ่มผู้ป่วยทันตกรรมจัดฟันในประเทศไนจีเรียใต้ตะวันตกโดยใช้ดัชนีเดียวกันโดยกรีนและมิลเลียน [9 ] Onyeaso และคณะ [12] นอกจากนี้ยังมีรายงานสุขอนามัยช่องปากที่ดีใน 59.6% ของผู้ป่วยทันตกรรมจัดฟันของพวกเขาและ 38.2% และมีสุขอนามัยช่องปากที่เป็นธรรมที่พวกเขาประกอบกับอาสาสมัครของพวกเขาเพราะปัจจัยเจตคติของการรับรู้ทางทันตกรรมที่ค่อนข้างดีของพวกเขา.
การรับรู้ทางทันตกรรมสูงและทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากในหมู่ ผู้ป่วยจึงเป็นปัจจัยที่สนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญในการบรรลุสถานะสุขอนามัยช่องปากที่ดี นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นที่จะต้องทราบว่าในขณะที่ผู้ป่วยทันตกรรมจัดฟันมีความรับผิดชอบที่จะสังเกตและรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดี, ทันตแพทย์จัดฟันยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพช่องปากในระหว่างการรักษาทันตกรรมจัดฟันซึ่งจะรวมถึงทางเลือกของเครื่องใช้ในการจัดฟันสุขอนามัยมากขึ้น, การให้การดูแลสุขภาพช่องปาก การศึกษาและให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการของการควบคุมคราบจุลินทรีย์คำแนะนำในการเสริมการรักษาด้วยฟลูออไรแรงจูงใจและการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าประสิทธิภาพของระบอบการปกครองของสุขภาพช่องปากโดยมีวัตถุประสงค์ในการลดการสะสมคราบจุลินทรีย์ในระหว่างการรักษาและการป้องกันผลกระทบที่สอดคล้องกัน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การประเมินภาวะสุขภาพช่องปาก พบมากกว่าร้อยละหกสิบ ( 62.8 % ) ของกลุ่มตัวอย่างที่มีอนามัยช่องปากดี กว่าที่สามมียุติธรรมสุขภาพช่องปากและไม่มีผู้ป่วยที่นำเสนอกับอนามัยช่องปากไม่ดี การศึกษานี้ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการกระจายของสถานะสุขภาพช่องปากในผู้ป่วยจัดฟันเหล่านี้แม้ว่าจะหมายถึงการพูดจูงใจเศษและแคลคูลัสดัชนีสูงขึ้นเล็กน้อยระหว่างตัวผู้มากกว่าตัวเมีย กลุ่มตัวอย่างมีอายุระหว่าง 11-20 ปี มีสถิติสูงสุดในระดับดีและพอใช้สภาพสุขอนามัยในช่องปาก สถานะสุขภาพช่องปากน่าพอใจ พบในการศึกษานี้จึงชี้ให้เห็นความสามารถที่ดีของผู้ป่วยทางทันตกรรมจัดฟันเหล่านี้ในการควบคุมและลดคราบจุลินทรีย์สะสมรอบเครื่องใช้ถาวรของพวกเขาการศึกษานี้ยังพบว่าส่วนใหญ่ที่สำคัญของวิชาแปรงฟันวันละสองครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับความถี่สูง ผู้ที่มีสุขภาพช่องปากที่ดีสุขอนามัยช่องปากที่ดีสถานะสังเกตหมู่วิชาเหล่านี้อาจจะเกิดจากความตระหนักทางทันตกรรมของพวกเขาและทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปาก เนื่องจากส่วนใหญ่บุคคลที่แสวงหาการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันทันตกรรมความงามต้องการปรับปรุง ฟังก์ชันในช่องปาก , สุขภาพช่องปากที่เหมาะสมและความผาสุกทางใจ [ 1 ]ขั้นตอนการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและการดูแลบ้าน คําแนะนําในการตั้งใจและที่ปรึกษาผู้ป่วยทางทันตกรรมจัดฟันจัดฟัน ' คลินิกอาจจะเสริม .การศึกษานี้เป็น แต่ในทางตรงกันข้าม ผลของ atassi และ awartani [ 10 ] ใครรายงานอนามัยช่องปากที่น่าพอใจในผู้ป่วยจัดฟัน แม้จะมีความจริงที่ว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยของพวกเขา ( 54% ) แปรงฟันของพวกเขาสองครั้งทุกวันและหนึ่งในห้าสามครั้งทุกวันเขากล่าวต่อไปว่า ความถี่ในการแปรงฟันอย่างเดียว ไม่สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของสุขภาพช่องปาก แต่ระดับการศึกษาของผู้ป่วยและแรงจูงใจและการเสริมแรงอย่างต่อเนื่องของบ้านดูแลช่องปาก เป็นปัจจัยที่สำคัญในการดูแลสุขอนามัยในช่องปาก ฮอบสันและคลาร์ก [ 11 ] พบว่า แม้ว่าหลายจัดฟันสนับสนุนมาตรการสุขอนามัยในช่องปากที่เหมาะสมประสิทธิภาพถูกกําหนดโดยแรงจูงใจของผู้ป่วย ในการศึกษาที่คล้ายกัน
ของผู้ป่วยทางทันตกรรมจัดฟันในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของไนจีเรีย โดยใช้ดัชนีเดียวกันโดยกรีน และเลี่ยน [ 9 ] , onyeaso et al . [ 12 ] ยังมีรายงานที่ดีสุขภาพช่องปากในผู้ป่วยทันตกรรมจัดฟัน และร้อยละ 59.6 ของ 382 % ยุติธรรมกับสุขภาพช่องปากของพวกเขาที่พวกเขาประกอบกับวิชาเชิงปัจจัยเพราะตนเองค่อนข้างดีกว่าฟันความตระหนัก .
สูงทันตกรรมความตระหนักและทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยจึงเป็นปัจจัยเสริมที่สำคัญในการบรรลุสุขภาพช่องปากดี สถานะมันก็จำเป็นที่จะต้องทราบว่าในขณะที่ผู้ป่วยทันตกรรมจัดฟันมีความรับผิดชอบที่จะสังเกตและรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดี การจัดฟันก็มีบทบาทส่งเสริมอนามัยช่องปากในการรักษาทางทันตกรรมจัดฟัน จัดฟัน ซึ่งจะรวมถึงการเลือกเครื่องใช้ที่ถูกสุขอนามัยมากขึ้น การให้การศึกษา สุขภาพช่องปาก และคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการของการควบคุมคราบจุลินทรีย์แนะนําอาหารการบำบัดฟลูออไรด์ แรงจูงใจ และการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าประสิทธิภาพของระบบการปกครองสุขภาพช่องปากกับวัตถุประสงค์ของการลดการสะสมของหินปูนในการรักษาและป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ที่สอดคล้องกัน