ไม่ใช่วิธีการคำณวนหามูลค่าค่าตัวของนักฟุตบอลเวลาที่มีการซื้อ-ขาย แต่เป็นลักษณะการดูว่าสโมสรหนึ่งๆ จะพิจารณาค่าตัวของนักเตะที่จะซื้อเข้ามาอย่างไรค่าตัวของนักฟุตบอลเป็นที่สนใจและเป็นสิ่งสำคัญในโลกฟุตบอลมาตลอดนั่นล่ะนะครับ สมัยก่อนนี่ ผมจำได้ว่าค่าตัวระดับ 15 ล้าน 20 ล้าน ก็ทำให้อื้ออึงได้ ว่าแล้วก็นึกถึงพวก คริสเตียน วิเอรี่, เฮอนัน เครสโป, กาเบรียล บาติสตูต้า ฯลฯ นะ ยุคโน้นนี่ เดนิลสัน ค่าตัว 22 ล้านกับเบติสฮือฮาแทบแย่กลับมาก่อนบางครั้งเราอาจจะสับสนเพราะคำว่า "ค่าตัว" หรือ "transfer fee" จนนำมาเปรียบเทียบและอาจทำให้มองค่าตัวของนักฟุตบอลผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง อ้าว แล้วจริงๆ ควรดูอย่างไร?เริ่มแรกก่อนเลยสำหรับ "สโมสร" นั้น มีฐานะเป็นธุรกิจ เป็นกิจการ เป็น business ดังนั้นเวลามอง ต้องเริ่มปรับเป็น annual หรือคิดเป็นรายจ่าย "ต่อปี"อย่างที่หลายๆ คนคุ้นๆ เวลาฝรั่งพูดเรื่องเงินเดือนเค้าจะพูดเป็น "ต่อปี" เช่นเดียวกับนักฟุตบอลในบางลีกบางประเทศ (เยอรมัน, สเปน ฯลฯ) ก็จะบอกว่า นักเตะคนนี้ๆ ได้ "ค่าเหนื่อยต่อปี" เป็นที่เท่าไหร่นั่นเองต่อมา สิ่งที่สโมสรต้องนำมาคิดเวลาที่ซื้อนักเตะสักคน -ค่าตัว- เป็นแค่ส่วนเดียวอย่างที่บอก จริงๆ สโมสรต้องนำ ค่าเหนื่อย, ไซน์ออน-โบนัส (โบนัสตอนเซ็นสัญญา), agent fee, ค่าลิขสิทธิ์ และอื่นๆ จิปาถะมาคิดรวมด้วย แต่ เอาเป็นว่าหลักๆ ดูแค่ "transfer fee + wage" ก็พอวิธีที่สโมสรเค้าคำณวนก็คือ เอาทุกอย่างมาหารตาม "จำนวนปี" หรืออายุสัญญา ซึ่งโดยนัยก็คือ "อายุการใช้งาน" ของทรัพย์สินนั้นๆ นั่นเองเช่น นักเตะค่าตัว 64 ล้านปอนด์ ก็นำมาหารด้วยอายุสัญญา สมมุติ 5 ปีก็เป็น 64/5 = 12.8 ล้านปอนด์ต่อปีเช่นเดียวกันกับ ค่าเหนื่อย สมมุติ 200,000 ปอนด์/สัปดาห์ ก็นำมาทำเป็นปี คือ 200,000 x 52 = 10.4 ล้านปอนด์ต่อปีหาค่าตัวกลมๆ ต้องนำ ค่าเหนื่อยต่อปี x อายุสัญญา คือ 10.4 x 5 = 52 ล้านปอนด์ บวกกับค่าตัว 64 ล้านปอนด์ เท่ากับสโมสรมีภาระทางการเงินกับนักเตะนิรนามคนนี้ 116 ล้านปอนด์ตลอด 5 ปีของอายุการใช้งาน และคิดเป็นต่อปีคือปีละ 23.2 ล้านปอนด์ นั่นเองดังนั้นแล้ว บางครั้ง เราจึงจะได้ยินอะไรแปลกๆ เพิ่มขึ้นในระยะหลังๆ เช่น ทีมเอ พร้อมทุ่มเงิน 100 ล้านเป็นค่าตัวนักเตะ แต่พ่วงมาด้วยว่านี่คือ "งบรวม" คือค่าตัวบวกค่าเหนื่อยตลอดอายุสัญญา ไม่ใช่ค่าฉีกสัญญาอย่างเดียวอย่างที่เราเคยชินกันหากจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้ แมนฯยูไนเต็ด ก็เคยมีข่าวกับ เวสลีย์ ชไนเดอร์ ตามข่าวว่าล้มเหลวเพราะเกิน "งบที่ตั้งไว้" คือ ต้องลดอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ค่าตัวก็ค่าเหนื่อย คิดง่ายๆ เหมือนกับว่า กุให้งบรวมไปสมมุติ 70 ล้านปอนด์อายุสัญญา 4 ปีนะ ไปบริหารยังไงก็ได้ โดยรวมทั้ง "ค่าตัว" และ "ค่าเหนื่อย" อยู่ในนั้นเลย ปรับเอาตามใจชอบนี่คือ สิ่งที่สโมสรคิดนอกจาก 2 ปัจจัยหลักข้างบน ที่เหลือก็อย่างที่เราๆ ทราบกัน ไม่ว่าโบนัส, ค่าต่อสัญญา, ค่านายหน้า ฯลฯ ซึ่งปกติก็ไม่ได้ถึงกับมากมายเท่าไหร่อยู่แล้ว เว้นในบางกรณีที่มหาศาลจริงๆ สื่อก็จะกระพือให้เองอีกเรื่องคือ นักเตะบางคนอาจจะหมดสัญญา ย้ายทีมฟรี เราก็นึกว่าสโมสรใหม่นี่หวานปากเลย ไม่ต้องจ่าย transfer fee แต่เอาเข้าจริงแล้ว ถ้านักเตะคนนั้นค่อนข้างดัง มีชื่อเสียง ค่า signon-fee ก็อาจจะสูงพอๆ กับการเซ็นสัญญาเล็กๆ ได้เลย ก็อาจเป็นล้านหรือหลายล้านยูโรดังนั้นการเซ็นสัญญาพวกฟรีเอเจ้นท์ก็ไม่ได้แปลว่าจะถูกกว่าการซื้อตัวเสมอไป ถ้าตัวที่ซื้อนั้นค่าตัวไม่แพง และค่าเหนื่อยก็ไม่แพงสำคัญคือ เวลามองค่าตัวนักเตะในมุมมองของสโมสร มองแค่ค่าตัวอย่างเดียวไม่ได้ ดังนั้น สมมุติว่าเอานักเตะ 2 ที่ค่าตัวพอๆ กันมาเทียบเคียงกัน บางครั้งจึงทำไม่ได้ เช่นว่า สมมุติ นักเตะ 2 คนค่าตัวอาจจะ 40 ล้านปอนด์เท่ากันเด๊ะเลย แต่คนนึงสัญญา 4 ปี อีกคน 6 ปีคนนึงค่าเหนื่อย 2 แสน อีกคน 1 แสน ต่างๆ เหล่านี้คงพอจะเห็นภาพได้ว่าสำหรับสโมสรนั้นถึงแม้นักเตะ 2 คนนี้อาจจะมี transfer fee พอๆ หรือเท่ากัน แต่ถ้ารวมทุกอย่างแล้วหารด้วยอายุสัญญาแล้ว จะต่างกันชนิดหลายล้านหรือถึงสิบล้านปอนด์เลยทีเดียว
ไม่ใช่วิธีการคำ ณ วนหามูลค่าค่าตัวของนักฟุตบอลเวลาที่มีการซื้อ - ขาย แต่เป็นลักษณะการดูว่าสโมสรหนึ่ง ๆ จะพิจารณาค่าตัวของนักเตะที่จะซื้อเข้ามาอย่างไรค่าตัวของนักฟุตบอลเป็นที่สนใจ และเป็นสิ่งสำคัญในโลกฟุตบอลมาตลอดนั่นล่ะนะครับสมัยก่อนนี่ผมจำได้ว่าค่าตัวระดับ 15 ล้าน 20 ล้านก็ทำให้อื้ออึงได้ว่าแล้วก็นึกถึงพวกคริสเตียนวิเอรี่, เฮอนันเครสโป, กาเบ รียลบาติสตูต้า ฯลฯ นะยุคโน้นนี่เดนิลสันค่าตัว 22 ล้านกับเบติสฮือฮาแทบแย่กลับมาก่อนบางครั้งเราอาจจะสับสนเพราะคำว่า "ค่าตัว" หรือ "ค่าโอน" จนนำมา เปรียบเทียบและอาจทำให้มองค่าตัวของนักฟุตบอลผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงอ้าวแล้วจริงๆควรดูอย่างไร? เริ่มแรกก่อนเลยสำหรับ "สโมสร" นั้นมีฐานะเป็นธุรกิจเป็นกิจการเป็นธุรกิจดังนั้นเวลามองต้องเริ่มปรับเป็นหรือประจำปีคิด เป็นรายจ่าย "ต่อปี" อย่างที่หลาย ๆ คนคุ้น ๆ เวลาฝรั่งพูดเรื่องเงินเดือนเค้าจะพูดเป็น "ต่อปี" เช่นเดียวกับนักฟุตบอลในบางลีกบางประเทศ (เยอรมัน, สเปน ฯลฯ ) ก็จะบอกว่านักเตะคนนี้ ๆ ได้ "ค่าเหนื่อยต่อปี" เป็นที่เท่าไหร่นั่นเองต่อมาสิ่งที่สโมสรต้องนำมาคิดเวลาที่ซื้อนักเตะสักคน - ค่าตัว - เป็นแค่ส่วนเดียวอย่างที่บอกจริงๆสโมสรต้องนำค่าเหนื่อย, ไซน์ออน - โบนัส (โบนัสตอนเซ็นสัญญา) ค่าธรรมเนียมตัวแทนค่าลิขสิทธิ์และอื่น ๆ จิปาถะมาคิดรวมด้วย แต่เอาเป็นว่าหลัก ๆ ดูแค่ "ค่าโอน + ค่าจ้าง" ก็พอวิธีที่สโมสรเค้าคำ ณ วนก็คือเอาทุกอย่างมาหาร ตาม "จำนวนปี" หรืออายุสัญญาซึ่งโดยนัยก็คือ "อายุการใช้งาน" ของทรัพย์สินนั้น ๆ นั่นเองเช่นนักเตะค่าตัว 64 ล้านปอนด์ก็นำมาหารด้วยอายุสัญญาสมมุติ 5 ปีก็เป็น 64/5 = 12.8 ล้าน ปอนด์ต่อปีเช่นเดียวกันกับค่าเหนื่อยสมมุติ 200,000 ปอนด์ / สัปดาห์ก็นำมาทำเป็นปีคือ 200,000 x 52 = 10.4 ล้านปอนด์ต่อปีหาค่าตัวกลมๆต้องนำค่าเหนื่อยต่อปี x อายุสัญญาคือ 10.4 x 5 = 52 ล้านปอนด์ บวกกับค่าตัว 64 ล้านปอนด์เท่ากับสโมสรมีภาระทางการเงินกับนักเตะนิรนามคนนี้ 116 ล้านปอนด์ตลอด 5 ปีของอายุการใช้งานและคิดเป็นต่อปีคือปีละ 23.2 ล้านปอนด์นั่นเองดังนั้นแล้วบางครั้งเราจึงจะได้ยิน อะไรแปลก ๆ เพิ่มขึ้นในระยะหลัง ๆ เช่นทีมเอพร้อมทุ่มเงิน 100 ล้านเป็นค่าตัวนักเตะ แต่พ่วงมาด้วยว่านี่คือ "งบรวม" คือค่าตัวบวกค่าเหนื่อยตลอดอายุสัญญาไม่ใช่ค่าฉีกสัญญาอย่างเดียวอย่างที่เรา เคยชินกันหากจำไม่ผิดก่อนหน้านี้แมนฯ ยูไนเต็ดก็เคยมีข่าวกับเวสลีย์ชไนเดอร์ตามข่าวว่าล้มเหลวเพราะเกิน "งบที่ตั้งไว้" คือต้องลดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ค่าตัวก็ ค่าเหนื่อยคิดง่ายๆเหมือนกับว่ากุให้งบรวมไปสมมุติ 70 ล้านปอนด์อายุสัญญา 4 ปีนะไปบริหารยังไงก็ได้โดยรวมทั้ง "ค่าตัว" และ "ค่าเหนื่อย" อยู่ในนั้นเลยปรับเอาตามใจชอบนี่คือสิ่งที่สโมสร คิดนอกจาก 2 ปัจจัยหลักข้างบนที่เหลือก็อย่างที่เรา ๆ ทราบกันไม่ว่าโบนัส, ค่าต่อสัญญา, ค่านายหน้า ฯลฯ ซึ่งปกติก็ไม่ได้ถึงกับมากมายเท่าไหร่อยู่แล้วเว้นในบางกรณีที่มหาศาลจริงๆสื่อก็จะกระพือ ให้เองอีกเรื่องคือนักเตะบางคนอาจจะหมดสัญญาย้ายทีมฟรีเราก็นึกว่าสโมสรใหม่นี่หวานปากเลยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการโอน แต่เอาเข้าจริงแล้วถ้านักเตะคนนั้นค่อนข้างดังมีชื่อเสียงค่า signon ค่าธรรมเนียมก็ อาจจะสูงพอ ๆ กับการเซ็นสัญญาเล็ก ๆ ได้เลยก็อาจเป็นล้านหรือหลายล้านยูโรดังนั้นการเซ็นสัญญาพวกฟรีเอเจ้นท์ก็ไม่ได้แปลว่าจะถูกกว่าการซื้อตัวเสมอไปถ้าตัวที่ซื้อนั้นค่า ตัวไม่แพงและค่าเหนื่อยก็ไม่แพงสำคัญคือเวลามองค่าตัวนักเตะในมุมมองของสโมสรมองแค่ค่าตัวอย่างเดียวไม่ได้ดังนั้นสมมุติว่าเอานักเตะ 2 ที่ค่าตัวพอ ๆ กันมาเทียบเคียงกันบางครั้งจึงทำไม่ ได้เช่นว่าสมมุตินักเตะ 2 คนค่าตัวอาจจะ 40 ล้านปอนด์เท่ากันเด๊ะเลย แต่คนนึงสัญญา 4 ปีอีกคน 6 ปีคนนึงค่าเหนื่อย 2 แสนอีกคน 1 แสนต่างๆเหล่านี้คงพอจะเห็นภาพได้ว่าสำหรับ สโมสรนั้นถึงแม้นักเตะ 2 คนนี้อาจจะมีค่าธรรมเนียมการโอนพอ ๆ หรือเท่ากัน แต่ถ้ารวมทุกอย่างแล้วหารด้วยอายุสัญญาแล้วจะต่างกันชนิดหลายล้านหรือถึงสิบล้านปอนด์เลยทีเดียว
การแปล กรุณารอสักครู่..
