Then we have l = 2, i.e., G − V(M)

Then we have l = 2, i.e., G − V(M) has just two components with n − 2 vertices, and so |M| = 2. Let em denote the
number of edges between G − V(M) and V(M). According to (n + 1)-regularity of G, each vertex in V(G) V(M)
is adjacent to every vertex in V(M). So em = 4(2n −4) = 8n −16. Furthermore, counting the number of edges from
V(M) to V(G) V(M), we have em  n · |V(M)| = 4n. Thus we have 8n −16  4n, implying n  4, contradicting
the fact that n is odd and n 6= 3. The proof is completed.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

แล้วเรามี l = 2 เช่น G − V(M) มีเพียงสองส่วนประกอบ ด้วย n − 2 จุดยอด และ |M| = 2 ให้เอ็มที่แสดงในจำนวนขอบระหว่าง G − V(M) และ V(M) ตาม (n + 1) -ความของ แต่ละจุดใน V(G) V(M)อยู่ติดกับทุกจุดใน V(M) ดังนั้นเอ็ม = 4 (2n −4) = 8n −16 นอกจากนี้ นับจำนวนขอบจากV(M) กับ V(G) V(M) เรามีเอ็ม· n |V (M) | = 4n ดังนั้น เรามี 8n −16 4n หน้าที่ n 4 ขัดแย้งความจริงที่ n ที่เป็นคี่ และ n 6 = 3 หลักฐานที่เสร็จสมบูรณ์

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แล้วเรามี L = 2 คือ G - V (M) มีเพียงสองส่วนกับ n - 2 จุดและอื่น ๆ | M | = 2. ให้ em หมายถึง
จำนวนของขอบระหว่าง G - V (M) และ V ( M) ตามที่ (n + 1) -regularity ของ G, จุดสุดยอดใน V (G) v แต่ละ (M)
อยู่ติดกับจุดสุดยอดในทุก V (M) ดังนั้น em = 4 (2n -4) = 8N -16 นอกจากนี้การนับจำนวนของขอบจาก
V (m) V (G) V (M) เรามี em? n · | V (M) | = 4n ดังนั้นเราจึงมี 8N -16? 4n หมายความ n? 4 ขัดแย้ง
ความจริงที่ว่า n คือแปลกและ 6 = 3. หลักฐานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เราก็มี L = 2 I , G − V ( M ) มีเพียงสองส่วนประกอบด้วย n − 2 จุด และ | | M = 2 ให้มันแสดง
จำนวนของขอบระหว่าง G − V ( M ) และ V ( M ) ตาม ( 1 ) - ระเบียบ ก. แต่ละจุดยอดใน V ( G ) ( V ( M )
ติดกันทุกจุดยอดใน V ( M ) ดังนั้น em = 4 ( 2n − 4 = 8n − 16 นอกจากนั้น การนับจำนวนของขอบจาก
v ( M ) V ( G ) ( V ( M ) , เราได้มัน  N ด้วย | V ( M ) | = 4N .เราจึง 8n − 16  4N , implying N  4 , ทะลึ่ง
ที่ว่า n เป็นคี่และ 6 = 3 หลักฐานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว