จากสารคดีเรื่อง Food, Inc. ในข้างต้น โดยเฉพาะอันตรายต่อสุขภาพ ประกอบกับกระแสความตื่นตัวของผู้บริโภคเองเกี่ยวกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เป็นสาเหตุที่อธิบายว่าเหตุใดอาหารออร์แกนิกจึงได้รับความนิยมมากขึ้นอย่าง รวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศร่ำรวยที่ประชากรส่วนใหญ่คือชนชั้นกลางผู้มีทางเลือกมากมาย ตามขนาดของกำลังซื้อ
พจนานุกรมฉบับอ็อกซ์ฟอร์ดให้คำจำกัดความ “ออร์แกนิก” ว่า “ไม่ผลิตโดยหรือใช้ปุ๋ยเคมีหรือสารเคมีสังเคราะห์อื่นๆ” ดังนั้น การที่ผู้บริโภคมองหาป้าย “ออร์แกนิก” และยินดีจ่ายแพงกว่าอาหารไม่ออร์แกนิก จึงเป็นสัญญาณที่ตอกย้ำข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า อาหารที่ไม่ออร์แกนิก นั่นคือ ผลิตโดยใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีสังเคราะห์นั้น นอกจากจะลิดรอนสุขภาพของเกษตรกรผู้ปลูกและเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังส่งผลเสียสะสมต่อสุขภาพของผู้บริโภคปลายทางเช่นกัน
งานวิจัยหลายชิ้น โดยเฉพาะชิ้นสำคัญจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส ในปี 2003 ชี้ว่า พืชผักที่ปลูกแบบออร์แกนิกน่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มากกว่าพืชผักที่ ปลูกตามวิถีเกษตรกระแสหลักในปัจจุบัน เพราะผักออร์แกนิกมีวิตามินและสารประเภทโพลีฟีนอล (polyphenol) สูงกว่า โพลีฟีนอลช่วยกระบวนการสันดาปในร่างกายและทำหน้าที่อื่นๆ อีกหลายอย่าง บางตัวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) บางตัวช่วยต้านทานโรคมะเร็ง และบางตัวก็ช่วยกำจัดเชื้อโรคในร่างกาย พืชผลิตสารโพลีฟีนอลตามธรรมชาติเพื่อต่อสู้กับแมลงและเชื้อโรคต่างๆ การฉีดยาฆ่าแมลงส่งผลให้พืชผลิตสารโพลีฟีนอลน้อยลงเพราะมีมนุษย์มาช่วยแบ่ง เบาภาระ ในขณะเดียวกัน การใส่ปุ๋ยเคมีก็ทำให้ดินเสื่อมความหลากหลายทางชีวภาพจนพืชไม่มีวัตถุดิบมา ใช้ในการผลิตโพลีฟีนอล
เนื่องจากอาหารออร์แกนิกมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าและปลอดภัยกว่าอาหารไม่ ออร์แกนิก แต่ยังมีราคาแพงกว่ามาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอาหารฟาสต์ฟู้ดราคาถูกทั้งหลายที่เป็นอันตรายต่อ สุขภาพ นักโภชนาการและนักรณรงค์ในอเมริกาจึงกำลังเรียกร้องให้รัฐบาลเลิกอุด หนุนราคาวัตถุดิบอย่างเช่นข้าวโพดที่ทำให้บริษัทฟาสต์ฟู้ดตั้งราคาต่ำเตี้ย ติดดินได้ หันมาส่งเสริมอาหารออร์แกนิกแทน