ช่วง นี้ประเทศของเรากำลังประสบปัญหาวิกฤตอย่างรุนแรง ทั้งน้ำมันแพง ข้าวสารและอาหารขึ้นราคา ปัญหาการเมือง และอื่นๆ ดังนั้นเราควรป้องกันปัญหาต่างๆเหล่านี้ ด้วยการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง วันนี้กิ๊ฟได้อ่านหนังสือ Spisy ซึ่งเขานำแนวทางการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงมาให้อ่าน ซึ่งกิ๊ฟเห็นว่าคงเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆทุกๆคน เลยนำมาฝากกันค่ะ
1. มี ความพอประมาณ พื้นฐานสำคัญสำหรับการสร้างเศรษฐกิจอย่างพอเพียงก็คือ ต้องรู้จักพอประมาณ เพราะถ้าคนเรารู้จักพอในความต้องการของตน ความโลภก็จะเริ่มน้อยลง แต่คำว่าพอประมาณก็ไม่ได้หมายถึงน้อยเกินไป บางคนอ้างว่าพอประมาณจึงกินน้อยจนเกิดโรค ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าพอ แต่หมายถึงการเบียดเบียนตนเอง ดังนั้นความหมายของพอประมาณจึงแปลได้ว่า ความพอดี ไม่มากไป หรือ น้อยเกินไปจนสุดโต่ง และที่สำคัญคือต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
2.รู้จัก เหตุและผล การจะใช้ชีวิตอย่างพอเพียงส่วนหนึ่งต้องมาจาก การรู้จักเหตุ และผล ซึ่งไม่ได้หมายถึง เหตุและผลในการจับจ่ายซื้อของหรือใช้เงินเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการมีเหตุผลทุกการตัดสินใจ ทุกการลงทุน ทุกการกระทำต้องคำนึงถึงเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และผลที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และถ้าเราสร้างการมีเหตุและผลให้ติดตัวแล้วต่อไปถ้าเราจะหยิบเงินจากกระเป๋า ความยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดตามมาเป็นอัตโนมัติในทันที
3. สร้าง ภูมิคุ้มกันที่ดีให้ชีวิต ในยุคที่บ้านเมืองมีการเติบโต และผกผันทางเศรษฐกิจรวดเร็วเช่นนี้การสร้างภูมิคุ้นกันให้พร้อมที่จะเผชิญ ทุกสิ่งดูจะเป็นอีกเรื่องที่จำเป็น โดยเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเผชิญพร้อมยอมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงที่มาจากทั้งภายในและภายนอกทั้งนี้วัคซีนที่ต้องฉีดก็คือ ความรู้กับ คุณธรรม ความรู้คือการรอบรู้รอบคอบ รู้จักนำเทคโนโลยีต่างๆมาวางแผนและปฏิบัติ ส่วนคุณธรรมคือความอดทน ความเพียร และความซื่อสัตย์ ซึ่งทั้งหมดจะนำไปสู่การเกิดสติปัญญาในการใช้ชีวิต
4. เพิ่ม รายได้ ลดรายจ่าย หลักการนี้ถือเป็นพื้นฐานของการออมเลยก็ว่าได้ สำหรับการเพิ่มรายได้นั้นเราต้องยอมรับความจริง ก่อนเสียว่าทุกสิ่งในโลกไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ทุกอย่างต้องมีการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนค้าขาย การหาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ บางครั้งก็ต้องลงทุนลงแรง เช่น การหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อเป้าหมายในการเพิ่มเงินเดือน หรือหาโอกาสก้าวหน้าในอนาคต ส่วนการลดรายจ่ายต้องเริ่มที่รายการรายจ่ายในชีวิตประจำวัน และให้ลำดับความสำคัญ จากนั้นลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นจนเหลือแต่สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจริงๆ
5. ฉลาด ซื้อ ฉลาดใช้ เมื่อเราจัดทำรายการแล้วว่าสิ่งไหนที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทีนี้เราต้องฉลาดที่จะซื้อด้วย โดยการเลือกซื้อสินค้าที่คุ้มค่า คุ้มประโยชน์ ที่สำคัญคือต้องฉลาดคิดก่อนก่อหนี้ เช่น ถ้าคิดจะก่อหนี้เงินกู้เพื่อเช่นที่อยู่อาศัย ไม่ควรให้มีภาระการผ่อนชำระเกิน 30% ของรายได้ครอบครัว และถ้าจะกู้เพื่อซื้อรถยนต์ก็ ไม่ควรให้มีรายการผ่อนชำระเกิน 15% ของ รายได้ครอบครัวเช่นกัน ส่วนฉลาดใช้คือ การรักษาสิ่งของต่างๆให้คงอยู่ในสภาพที่เหมาะกับการใช้งานได้นานๆ รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่าย จำพวกค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ด้วย
6. พอ เพียงด้วยวิถีพุทธ การที่จะให้เศรษฐกิจชุมชน เป็นเศรษฐกิจที่พอเพียงได้ก่อนอื่นเราต้องสร้างวินัยให้ตนเอง และสร้างชุมชนเล็กๆอย่างครอบครัวให้กลายเป็นชุมชนที่พอเพียงเสียก่อน โดยหัวใจหลักคือการพึ่งพาตนเอง รู้จักคุ้นค่าของธรรมชาติและรู้จักใช้สิ่งที่ธรรมชาติให้มา ให้เป็นประโยชน์ที่สุด และต้องไม่ลืมที่จะ ลด ละ เลิก อบายมุก
7. จด ทุกครั้งเมื่อจ่าย การจดคือหลักง่ายๆในการบริหารเงิน หรือพูดง่ายๆก็คือเป็นการเฝ้าติดตามรายจ่าย พร้อมทั้งบริหารการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับชีวิตจริง ซึ่งบัญชีรายรับรายจ่ายเหล่านี้จะเป็นหลักฐานชั้นดีในการเตือนตัวเองว่าใน แต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่จำเป็น และไม่จำเป็น พอเราจดจะเห็นทันทีว่าเงินหายไปไหน และพอรู้เส้นทางการจากไปของเงินแล้ว เราก็จะได้จัดการปิดเส้นทางนั้น และตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงิน ไม่ปล่อยให้มันไปเที่ยวไหนอีกแล้ว
8. เทคนิค ให้มีเงินออม การออมจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปหากเราตั้งใจแน่วแน่ที่จะกำหนดเป้าหมายการ เก็บออมว่า ในแต่ละเดือน แต่ละปี จะมีเงินออมเท่าไหร่ จากนั้นกำหนดเป้าหมาย การใช้จ่ายในแต่ละวัน แต่ละเดือน และเมื่อไหร่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ แล้วจึงประหยัดรายจ่ายด้วยการจ่ายน้อยกว่าหรือเท่ากับเป้าหมายการใช้จ่าย เพื่อให้มีเงินเหลือมากขึ้น และถ้าเป็นไปได้ไม่ควรก่อหนี้เมื่อโดยจำเป็น และเกินกำลัง ซึ่งไม่ได้แปลว่ามีหนี้ไม่ได้ แต่ให้เตือนตัวเองเสมอว่าหนี้มีได้แต่ต้องไม่เกินกำลัง และต้องชำระคืนให้หมดโดยเร็ว
9. ฉลาด ใช้ชีวิต ท้ายที่สุดของการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง ก็คือการฉลาดใช้ชีวิต ซึ่งการฉลาดนี้ไม่ได้แปลว่าการฉลาดซื้อ ฉลาดใช้ ฉลาดออม และฉลาดหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงความฉลาดใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ต้องร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่ก็ไม่ได้อดอยากจนต้องเบียดเบียนตนเอง และก็ไม่ใช่ว่าอยากได้จนต้องเบียดเบียนคนอื่นนั่นเอง
10. ยุทธการหมายเลข10 วิธีนี้เป็นยุทธการสำหรับคนที่มักจะอดใจไม่ได้ เมื่อได้เงินมาโดยการออมแบบเลข10 นี้มี 2 แบบคือ การออมเงินแบบลบ 10 มีวิธีการคือ เมื่อเราหาเงินมาได้เท่าไหร่ให้หักไว้เป็นเงินออม ก่อนที่จะเอาไปใช้จ่ายทันที 10% ของเงินที่หามาได้ เช่น รับเงินเดือน 8000 ก็หักไว้เป็นเงินออมก่อนเลย 800 บาท การออมเงินแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่มีวินัยทางการเงินค่อนข้างดี ส่วนอีกแบบคือการออมเงินแบบบวก 10 หมายถึงถ้าเราใช้เงินไปเท่าไหร่ ต้องเก็บเงินเพิ่มให้ได้ 10% ของเงินที่ใช้ไป เช่น ซื้อของ 2,000 บาท ก็ต้องออมเงินเพิ่ม 200 บาทไปพร้อมๆกันวิธีนี้เหมาะกับคนที่มีนิสัยชอบจับจ่ายใช้สอยเพราะจะช่วยเตือนความจำให้เราเก็บเงินทุกครั้งไป