Christian art after 313With the fin

Christian art after 313
With the final legalization of Christianity, the existing styles of Christian art continued to develop, and take on a more monumental and iconic character. Before long very large Christian churches began to be constructed, and the majority of the rich elite adapted Christianity, and public and elite Christian art became grander to suit the new spaces and clients.
Although borrowings of motifs such as the Virgin and Child from pagan religious art had been pointed out as far back as the Protestant Reformation, when John Calvin and his followers gleefully used them as a stick with which to beat all Christian art, the belief of André Grabar, Andreas Alföldi, Ernst Kantorowicz and other early 20th-century art historians that Roman Imperial imagery was a much more significant influence "has become universally accepted". A book by Thomas F. Mathews in 1994 attempted to overturn this thesis, very largely denying influence from Imperial iconography in favour of a range of other secular and religious influence, but was roughly handled by academic reviewers.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ศิลปะคริสเตียนหลังจาก 313พร้อมรับรองขั้นสุดท้ายของศาสนาคริสต์ ลักษณะที่มีอยู่ของศิลปะคริสเตียนยังคงพัฒนา และบนตัวอักษรที่ใหญ่หลวง และโดดเด่นมากขึ้น ก่อนที่โบสถ์คริสต์ขนาดใหญ่มากยาวเริ่มการก่อสร้าง ส่วนใหญ่ของชนชั้นรวยดัดแปลงศาสนาคริสต์ และสาธารณะ และยอดศิลปะคริสเตียนกลายเป็นยิ่งให้เหมาะสมกับพื้นที่ใหม่และลูกค้าแม้ว่ามีเงินกู้ยืมของลวดลายเช่นเลือดและเด็กจากศิลปะทางศาสนาที่ศาสนา ได้ชี้ให้เห็นไกลกลับเป็นปฏิรูปโปรเตสแตนต์ เมื่อจอห์นคาลวินและผู้ติดตามของเขา gleefully ใช้นั้นเป็นไม้ที่ตีศิลปะคริสเตียนทั้งหมด ความเชื่อของพระราช สาส์ André, Andreas Alföldi, Ernst Kantorowicz และอื่น ๆ ประวัติศาสตร์ศิลปะศตวรรษที่ 20 ช่วงที่โรมันอิมพีเรียลภาพ อิทธิพลสำคัญมาก "กลายเป็นสากลยอมรับ" หนังสือ โดยโทมัสเอฟแมทธิวส์ในปี 1994 พยายามคว่ำวิทยานิพนธ์นี้ มากส่วนใหญ่ปฏิเสธอิทธิพลจากอิมพีเรียลตาสนับสนุนช่วงของฆราวาสอื่น ๆ และศาสนามีอิทธิพลต่อ ได้รับการจัดการ โดยผู้ตรวจสอบทางวิชาการประมาณ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ศิลปะคริสเตียนหลังจากที่ 313
ด้วยการถูกต้องตามกฎหมายสุดท้ายของคริสต์ศาสนาในรูปแบบที่มีอยู่ของศิลปะคริสเตียนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาและใช้เวลาในตัวละครที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นและที่โดดเด่น โบสถ์คริสต์ก่อนที่จะนานขนาดใหญ่มากเริ่มที่จะถูกสร้างขึ้นและส่วนใหญ่ของชนชั้นสูงที่อุดมไปดัดแปลงคริสต์ศาสนาและประชาชนและชนชั้นศิลปะคริสเตียนกลายเป็นยิ่งใหญ่เพื่อให้เหมาะกับพื้นที่ใหม่และลูกค้า.
แม้ว่าเงินกู้ยืมของลวดลายเช่นบริสุทธิ์และเด็กจากศาสนาศาสนา ศิลปะได้รับการชี้ให้เห็นไกลกลับเป็นโปรเตสแตนต์เมื่อจอห์นคาลวินและลูกน้องของเขาสำราญใช้พวกเขาเป็นไม้ที่จะชนะทั้งหมดศิลปะคริสเตียนเชื่อของAndré Grabar, Andreas Alföldiเอิร์นส์ Kantorowicz และต้นศตวรรษที่ 20 อื่น ๆ ประวัติศาสตร์ศิลปะที่ภาพโรมันอิมพีเรียลเป็นอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญมากขึ้น "ได้กลายเป็นที่ยอมรับในระดับสากล" หนังสือโดยโทมัสเอฟแมทธิวส์ 1994 ความพยายามที่จะคว่ำวิทยานิพนธ์นี้มากส่วนใหญ่ปฏิเสธอิทธิพลจากอิมพีเรียลยึดถือในความโปรดปรานของช่วงของการมีอิทธิพลต่อโลกและทางศาสนาอื่น ๆ แต่ถูกจัดการโดยสังเขปแสดงความคิดเห็นทางวิชาการ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

คริสเตียนศิลปะหลังจาก 313กับกิจกรรมสุดท้ายของศาสนาคริสต์ ที่มีอยู่ในรูปแบบของศิลปะคริสต์ศาสนาอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาและใช้ในเพิ่มเติม monumental และตัวละครที่โดดเด่น . ก่อนที่คริสตจักรคริสเตียนใหญ่ยาวมาก เริ่มมีการสร้างขึ้นและส่วนใหญ่ของชนชั้นคนรวยดัดแปลงคริสต์ศาสนา และสาธารณะและยอดศิลปะศาสนาคริสต์กลายเป็นร้านให้เหมาะสมกับพื้นที่ใหม่ และลูกค้าแม้ว่าจำนวนของลวดลาย เช่น เวอร์จิ้น และเด็กจากศิลปะทางศาสนานอกรีตได้ชี้ให้เห็นเท่าที่การปฏิรูปโปรเตสแตนต์เมื่อจอห์นคาลวินและผู้ติดตามของเขายินดีใช้มันเป็นไม้ที่ตีทั้งหมดคริสเตียนศิลปะ ความเชื่อ ของอังเดร grabar Andreas อัลฟ์ö , ชุมชนและ เอินส์ท kantorowicz 20 ต้นอื่น ๆ ศตวรรษที่นักประวัติศาสตร์ศิลปะที่จักรพรรดิโรมันภาพเป็นอิทธิพลมากอย่างมีนัยสำคัญมากขึ้นได้กลายเป็นที่ยอมรับ " ในทุกกรณี หนังสือโดย Thomas F . แมทธิวในปี 1994 พยายามรื้อฟื้น วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มาก ส่วนใหญ่ปฏิเสธอิทธิพลจากอิมพีเรียลยึดถือในความโปรดปรานของช่วงของอิทธิพลทางโลกและทางศาสนาอื่น ๆ แต่ถูกประมาณโดยผู้แสดงความคิดเห็นทางวิชาการ