การไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติ และผลต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยโด การแปล - การไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติ และผลต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยโด ไทย วิธีการพูด

การไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติ แล

การไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติ และผลต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย

โดยพอพิศ ยอดแสง, ฝ่ายวิจัยและพัฒนา

นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะการไหลเข้า-ออกของเม็ดเงินต่างชาติที่ค่อนข้างผันผวน จากที่เคยไหลเข้า (Inflow) ในปริมาณมากช่วงต้นปี จนกระทั่งมีการไหลออก (Outflow) อย่างต่อเนื่องในช่วง 4 – 5 เดือนก่อนหน้า และเริ่มไหลกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การเปลี่ยนทิศทางของกระแสเงินทุนต่างชาติ ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และราคาตราสารหนี้ปรับตัวขึ้น-ลง ตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. (4 เดือน) มีเม็ดเงินต่างชาติไหลออกไปจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมกันกว่า 170,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็น Outflow ที่เกิดจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 20,000 ล้านบาท Outflow ที่เกิดจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 40,000 ล้านบาท และที่เหลืออีกประมาณ 110,000 ล้านบาทเกิดจากการหมดอายุของตราสารหนี้ที่นักลงทุนต่างชาติเคยถือครองเอาไว้ ซึ่งตัวเลขที่เกิดขึ้นทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า การไหลออกของเม็ดเงินในช่วงที่ผ่านมาเป็นการไหลออกไปจากตราสารหนี้อายุสั้นๆเป็นหลัก (110,000 + 20,000 = 130,000 ล้านบาท) ขณะที่ Outflow จากตราสารหนี้ระยะยาวที่ถึงแม้จะมีปริมาณค่อนข้างสูง แต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลมากนัก เมื่อเทียบกับยอดการถือครอง (Holding) ตราสารหนี้ระยะยาวทั้งหมดของนักลงทุนต่างชาติที่มีอยู่รวมกันกว่า 590,000 ล้านบาท ในช่วงเวลานั้น

อย่างไรก็ตาม Outflow ที่เกิดขึ้น มีผลทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลงในทุกๆ ช่วงอายุ หรือในอีกมุมหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ (Yield) ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Yield ของพันธบัตรอายุ 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.0% ในช่วงเดือน พ.ค. มาอยู่ที่ 3.7% ขณะที่ Yield ของพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.5% มาอยู่ที่ 4.3% ณ สิ้นเดือน ส.ค. ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 5.4% จาก 30.41 บาท/USD ในเดือน พ.ค. ไปอยู่ที่ 32.06 บาท/USD ณ สิ้นเดือน ส.ค.

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากประเทศไทยในช่วง 4 – 5 เดือนที่ผ่านมา อาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วนด้วยกัน เริ่มจาก ความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ ทั้งตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่ GDP ไตรมาส 2/56 ของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวกว่า 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า Fed น่าจะเริ่มทำการลดขนาดของมาตรการ QE ในช่วงปลายปี 2556 โดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย. ที่ตลาดคาดว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการลดขนาด QE มากขึ้น ขณะที่อีกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด Outflow ของเม็ดเงินต่างชาติ คือแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 ที่ปรับตัวแย่ลงในเกือบทุกด้าน โดยตัวเลขการส่งออกที่ยังคงหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรมหลักโดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ส่งผลให้ GDP ของไทยในไตรมาส 2/2556 ขยายตัวได้เพียง 2.8% ซึ่งชะลอลงจาก 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า มุมมองทางเศรษฐกิจที่แย่ลงมีส่วนทำให้เกิด Outflow ของเม็ดเงินต่างชาติตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุม FOMC ในช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ที่มีมติไม่ลดขนาดของมาตรการ QE ตามที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์เอาไว้ ส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติที่เคยไหลออกไปในช่วงก่อนหน้า ไหลกลับเข้าสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยในช่วงระหว่างวันที่ 16 – 20 ก.ย. ต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทยกว่า 66,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นการกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตราสารระยะสั้น 48,000 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารระยะยาว 18,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแรงซื้อที่เกิดขึ้นในช่วง 5 วันที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วกระจุกตัวในตราสารหนี้ระยะสั้นซึ่งจะทยอยหมดอายุไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จึงคาดว่าเราอาจจะเห็นยอดซื้อสุทธิต่อเนื่องไปอีกซักระยะเวลาหนึ่ง โดยเป็นการซื้อเพื่อทดแทนตราสารหนี้ตัวเดิมที่หมดอายุลงไปเป็นหลัก


แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แรงซื้อสุทธิ 18,000 ล้านบาทในตราสารหนี้ระยะยาว ในช่วงระยะเวลาเพียง 5 วันทำการ หรือคิดเป็นปริมาณเกือบครึ่งหนึ่งของส่วนที่เคย Outflow ในช่วง 4 – 5 เดือนก่อนหน้านี้ ช่วยสะท้อนให้เห็นว่าตลาดตราสารหนี้ไทยยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าลงทุนในมุมมองของต่างชาติ จากราคาที่เคยปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก ซึ่งนักลงทุนทั่วไปอาจนำมาปรับใช้กับการลงทุนของตนเองได้เช่นกัน และถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนในตราสารหนี้อาจไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นสามัญ แต่ความผันและความเสี่ยงก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่อนข้างมากค่ะ
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
การไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติและผลต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยโดยพอพิศยอดแสง ฝ่ายวิจัยและพัฒนานับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะการไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติที่ค่อนข้างผันผวนจากที่เคยไหลเข้า (นำเข้า) ในปริมาณมากช่วงต้นปีจนกระทั่งมีการไหลออก (กระแส) 4 – 5 อย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนก่อนหน้าและเริ่มไหลกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาการเปลี่ยนทิศทางของกระแสเงินทุนต่างชาติส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และราคาตราสารหนี้ปรับตัวขึ้นลงตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในช่วงเดือนพ.ค. -ส.ค. (4 เดือน) มีเม็ดเงินต่างชาติไหลออกไปจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมกันกว่า 170,000 ล้านวรรคโดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นกระแสที่เกิดจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 20000 ล้านบาทกระแสที่เกิดจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 40000 ล้านบาทและที่เหลืออีกประมาณ 110,000 ล้านบาทเกิดจากการหมดอายุของตราสารหนี้ที่นักลงทุนต่างชาติเคยถือครองเอาไว้ซึ่งตัวเลขที่เกิดขึ้นทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าการไหลออกของเม็ดเงินในช่วงที่ผ่านมาเป็นการไหลออกไปจากตราสารหนี้อายุสั้นๆเป็นหลัก (110,000 + 20000 = 130,000 ล้านบาท) ขณะที่กระแสจากตราสารหนี้ระยะยาวที่ถึงแม้จะมีปริมาณค่อนข้างสูงแต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลมากนักเมื่อเทียบกับยอดการถือครอง (โฮลดิ้ง) ตราสารหนี้ระยะยาวทั้งหมดของนักลงทุนต่างชาติที่มีอยู่รวมกันกว่า 590,000 ล้านบาทในช่วงเวลานั้นอย่างไรก็ตามกระแสที่เกิดขึ้นมีผลทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลงในทุก ๆ ช่วงอายุหรือในอีกมุมหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ (Yield) ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 5 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับในช่วงเดือน 3.0% พ.ค. มาอยู่ที่ขณะที่ 3.7% ผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับมาอยู่ที่ 3.5% 4.3% ณสิ้นเดือนส.ค. ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 5.4% จาก 30.41 บาท/USD ในเดือนพ.ค. ไปอยู่ที่ 32.06 บาท/USD ณสิ้นเดือนส.ค ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากประเทศไทยในช่วง 4 – 5 เดือนที่ผ่านมาอาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วนด้วยกันเริ่มจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับทั้งตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีขณะที่ GDP 2/56 ไตรมาสของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 2.5% ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเฟดน่าจะเริ่มทำการลดขนาดของมาตรการ QE ในช่วงปลายปี 2556 โดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (คาดเฟด) ที่จะมีขึ้นในเดือนก.ย. ที่ตลาดคาดว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการลดขนาด QE มากขึ้นขณะที่อีกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดกระแสของเม็ดเงินต่างชาติคือแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 ที่ปรับตัวแย่ลงในเกือบทุกด้านโดยตกระแสัวเลขการส่งออกที่ยังคงหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรมหลักโดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยส่งผลให้ GDP ของไทยในไตรมาส 2/2556 ขยายตัวได้เพียงซึ่งชะลอลงจาก 2.8% 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้ามุมมองทางเศรษฐกิจที่แย่ลงมีส่วนทำให้เกิดของเม็ดเงินต่างชาติตามไปด้วย อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุมคาดเฟดในช่วงกลางเดือนก.ย. ที่ผ่านมาที่มีมติไม่ลดขนาดของมาตรการ QE ตามที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์เอาไว้ส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติที่เคยไหลออกไปในช่วงก่อนหน้าไหลกลับเข้าสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งโดยในช่วงระหว่างวันที่ 16 – 20 ก.ย. ต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทยกว่า 66,000 ล้านบาทโดยในจำนวนนี้เป็นการกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตราสารระยะสั้น 48,000 ล้านบาทและซื้อสุทธิในตราสารระยะยาว 18000 ล้านบาทอย่างไรก็ตามแรงซื้อที่เกิดขึ้นในช่วง 5 วันที่ผ่านมาส่วนใหญ่แล้วกระจุกตัวในตราสารหนี้ระยะสั้นซึ่งจะทยอยหมดอายุไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจึงคาดว่าเราอาจจะเห็นยอดซื้อสุทธิต่อเนื่องไปอีกซักระยะเวลาหนึ่งโดยเป็นการซื้อเพื่อทดแทนตราสารหนี้ตัวเดิมที่หมดอายุลงไปเป็นหลัก แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือแรงซื้อสุทธิ 18000 ล้านบาทในตราสารหนี้ระยะยาวในช่วงระยะเวลาเพียง 5 วันทำการหรือคิดเป็นปริมาณเกือบครึ่งหนึ่งของส่วนที่เคย 4 – 5 เดือนก่อนหน้านี้ช่วยสะท้อนให้เห็นว่าตลาดตราสารหนี้ไทยยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าลงทุนในมุมมองของต่างชาติจากราคาที่เคยปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากซึ่งนักลงทุนทั่วไปอาจนำมาปรับใช้กับการลงทุนของตนเองได้เช่นกันและถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนในตราสารหนี้อาจไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นสามัญแต่ความผันและความเสี่ยงก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่อนข้างมากค่ะในช่วง Outflow
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
การไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติ ยอดแสง, จากที่เคยไหลเข้า (นำเข้า) ในปริมาณมากช่วงต้นปีจนกระทั่งมีการไหลออก (การรั่วไหล) อย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 เดือนก่อนหน้า 1 - 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และราคาตราสารหนี้ปรับตัวขึ้น - ลงตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ค. - ส.ค. (4 เดือน) 170,000 ล้านบาทโดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นส่งออก (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 20,000 ล้านบาทการรั่วไหล (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 40,000 ล้านบาทและที่เหลืออีกประมาณ 110,000 (110,000 + 20,000 = 130,000 ล้านบาท) ขณะที่การรั่วไหล เมื่อเทียบกับยอดการถือครอง (โฮลดิ้ง) 590,000 ล้านบาทในช่วงเวลานั้นอย่างไรก็ตามการรั่วไหลที่เกิดขึ้น ช่วงอายุ (Yield) ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 5 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.0% ในช่วงเดือน พ.ค. มาอยู่ที่ 3.7% ขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.5% มาอยู่ที่ 4.3% ณ สิ้นเดือน ส.ค. ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 5.4% จาก 30.41 บาท / เหรียญสหรัฐในเดือน พ.ค. ไปอยู่ที่ 32.06 บาท / เหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือน ส.ค. ทั้งนี้ 4-5 เดือนที่ผ่านมาอาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วนด้วยกันเริ่มจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) (QE) หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ 5 ปีขณะที่จีดีพีไตรมาส 2/56 ของสหรัฐฯที่ขยายตัวกว่า 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเฟดน่าจะเริ่มทำการลดขนาดของมาตรการ QE ในช่วงปลายปี 2556 (FOMC) ที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย. QE มากขึ้นขณะที่อีกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของเม็ดเงินต่างชาติ 2556 ที่ปรับตัวแย่ลงในเกือบทุกด้าน ส่งผลให้จีดีพีของไทยในไตรมาส 2/2556 ขยายตัวได้เพียง 2.8% ซึ่งชะลอลงจาก 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า การรั่วไหล ภายหลังการประชุม FOMC ในช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาที่มีมติไม่ลดขนาดของมาตรการ QE ตามที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์เอาไว้ โดยในช่วงระหว่างวันที่ 16-20 ก.ย. 66,000 ล้านบาท 48,000 ล้านบาทและซื้อสุทธิในตราสารระยะยาว 18,000 ล้านบาท 5 วันที่ผ่านมา แรงซื้อสุทธิ 18,000 ล้านบาทในตราสารหนี้ระยะยาวในช่วงระยะเวลาเพียง 5 วันทำการ การไหลออกในช่วง 4-5 เดือนก่อนหน้านี้













การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
การไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติและผลต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย

โดยพอพิศยอดแสงฝ่ายวิจัยและพัฒนา

,นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะการไหลเข้า - ออกของเม็ดเงินต่างชาติที่ค่อนข้างผันผวนจากที่เคยไหลเข้า ( ไหล ) ในปริมาณมากช่วงต้นปีจนกระทั่งมีการไหลออก ( ไหล ) อย่างต่อเนื่องในช่วง 4 – 5และเริ่มไหลกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาการเปลี่ยนทิศทางของกระแสเงินทุนต่างชาติส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และราคาตราสารหนี้ปรับตัวขึ้น - ลงตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญพ .ค . - ส . ค . ( 4 เดือน ) มีเม็ดเงินต่างชาติไหลออกไปจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมกันกว่า 170 , 000 ล้านบาทโดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นไหลออกที่เกิดจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะสั้น ( อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 . ) 20000 ล้านบาทไหลออกที่เกิดจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะยาว ( อายุคงเหลือมากกว่า 1 . ) 40 , 000 ล้านบาทและที่เหลืออีกประมาณ 110000 ล้านบาทเกิดจากการหมดอายุของตราสารหนี้ที่นักลงทุนต่างชาติเคยถือครองเอาไว้ซึ่งตัวเลขที่เกิดขึ้นทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า( 110000 , 000 = 130 ,000 ล้านบาท ) ขณะที่ไหลออกจากตราสารหนี้ระยะยาวที่ถึงแม้จะมีปริมาณค่อนข้างสูงแต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลมากนักเมื่อเทียบกับยอดการถือครอง ( ถือ )590 ,000 ล้านบาทในช่วงเวลานั้น

อย่างไรก็ตามไหลออกที่เกิดขึ้นมีผลทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลงในทุกๆช่วงอายุหรือในอีกมุมหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ ( ผลผลิต ) ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยผลผลิตของพันธบัตรอายุ 5 .3 .0 % ในช่วงเดือนพ . ค . มาอยู่ที่ 3.7% ขณะที่ผลผลิตของพันธบัตรอายุ 10 . ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.5% มาอยู่ที่ 4.3% ณสิ้นเดือนส . ค . ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 5.4% จาก 30.41 บาท / USD ในเดือนพ . ค . ไปอยู่ที่ 32.06 บาท / USD ณสิ้นเดือนส . ค .

ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากประเทศไทยในช่วง 4 – 5 เดือนที่ผ่านมาอาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วนด้วยกันเริ่มจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ( เฟด ) อาจลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ( QE )มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับทั้งตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 . ขณะที่ GDP ไตรมาส 2 / 56 ของสหรัฐฯที่ขยายตัวกว่า 25 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเฟดน่าจะเริ่มทำการลดขนาดของมาตรการ QE ในช่วงปลายปี 2556 โดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ( FOMC ) ที่จะมีขึ้นในเดือน . . ย .ที่ตลาดคาดว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการลดขนาด QE มากขึ้นขณะที่อีกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดไหลออกของเม็ดเงินต่างชาติคือแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 ที่ปรับตัวแย่ลงในเกือบทุกด้านส่งผลให้ GDP ของไทยในไตรมาส 2 / 2556 ขยายตัวได้เพียง 28 % ซึ่งชะลอลงจาก 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้ามุมมองทางเศรษฐกิจที่แย่ลงมีส่วนทำให้เกิดไหลออกของเม็ดเงินต่างชาติตามไปด้วย

อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุม FOMC ในช่วงกลางเดือน . . ย .ที่ผ่านมาที่มีมติไม่ลดขนาดของมาตรการ QE ตามที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์เอาไว้ส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติที่เคยไหลออกไปในช่วงก่อนหน้าไหลกลับเข้าสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง 16 โดยในช่วงระหว่างวันที่– 20 . . ย .ต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทยกว่า 66 , 000 ล้านบาทโดยในจำนวนนี้เป็นการกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตราสารระยะสั้น 48000 ล้านบาทและซื้อสุทธิในตราสารระยะยาว 18 ,000 ล้านบาทอย่างไรก็ตามแรงซื้อที่เกิดขึ้นในช่วง 5 วันที่ผ่านมาส่วนใหญ่แล้วกระจุกตัวในตราสารหนี้ระยะสั้นซึ่งจะทยอยหมดอายุไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้าโดยเป็นการซื้อเพื่อทดแทนตราสารหนี้ตัวเดิมที่หมดอายุลงไปเป็นหลัก


แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือแรงซื้อสุทธิ 18000 ล้านบาทในตราสารหนี้ระยะยาวในช่วงระยะเวลาเพียง 5 วันทำการหรือคิดเป็นปริมาณเกือบครึ่งหนึ่งของส่วนที่เคยไหล said studies 4 – 5 เดือนก่อนหน้านี้จากราคาที่เคยปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากซึ่งนักลงทุนทั่วไปอาจนำมาปรับใช้กับการลงทุนของตนเองได้เช่นกันและถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนในตราสารหนี้อาจไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นสามัญ
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: