ป่าผลัดใบ
ป่าผลัดใบ เป็นป่าไม้ที่ผลัดใบตามฤดูกาล (seasonal) พบทั่วไปทุกภาคที่มีช่วงฤดูแล้งยาวนานชัดเจน ระหว่าง 4 – 7 เดือน ยกเว้นภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ (จันทบุรี– ตราด) เมื่อถึงฤดูแล้งที่มีปริมาณความชุ่มชื้นในดินและบรรยากาศลดลงอย่างมาก ต้นไม้ในป่าประเภทนี้จะผลัดใบร่วงลงสู่พื้นดิน และเตรียมผลิใบอ่อนขึ้นมาใหม่เมื่อถึงต้นฤดูฝนหรือเมื่อป่ามีความชุ่มชื้นมากขึ้น พืชพรรณในป่าผลัดใบส่วนใหญ่เป็นพรรณไม้ผลัดใบ (deciduous species) แทบทั้งสิ้น ป่าผลัดใบในช่วงฤดูฝนมีเรือนยอดเขียวชอุ่มเช่นเดียวกับป่าไม่ผลัดใบ ในฤดูแล้ง (มกราคม – มีนาคม) ใบไม้แห้งจะกองทับถมบนพื้นป่า ทำให้ เกิดไฟป่าลุกลามในป่าผลัดใบได้ง่ายแทบทุกปี ป่าผลัดใบขึ้นทั่วไปบนที่ราบเชิงเขาและบนภูเขาสูงที่ไม่เกินระดับ 1,000 เมตร (ยกเว้นป่าเต็งรัง-สนเขา) จำแนกออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1. ป่าเบญจพรรณหรือป่าผลัดใบผสมมีอยู่มากทางภาคเหนือ ภาคกลาง และพบกระจัดกระจายเป็นหย่อมเล็กๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนทางภาคใต้ไม่พบป่าชนิดนี้เลย ป่าเบญจพรรณมีลักษณะเป็นป่าโปร่งมากหรือน้อยประกอบด้วยไม้ต้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กปนกันหลากชนิด โดยเฉพาะพรรณไม้ของวงศ์ Leguminosae, Combretaceae และ Verbenaceae แต่จะไม่ปรากฏพรรณไม้กลุ่มยาง-เต็ง-รังที่ผลัดใบ (deciduous dipterocarp) บางแห่งมีไม้ไผ่ชนิดต่างๆ ขึ้นเป็นกอสูงๆ แน่นหรือกระจัดกระจาย พื้นดินมักเป็นดินร่วนปนทราย มีความชุ่มชื้นในดินปานกลาง หากเป็นดินที่สลายมาจากหินปูนหรือดินตะกอนที่อุดมสมบูรณ์ตามฝั่งแม่น้ำ มักจะพบไม้สักขึ้นเป็นกลุ่มๆ เช่น ป่าเบญจพรรณในภาคเหนือลงมาถึงภาคกลางในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งประกอบด้วยภูเขาหินปูนเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงฤดูแล้ง (มกราคม - มีนาคม) ต้นไม้ส่วนใหญ่จะผลัดใบ ทำให้เรือนยอดของป่าดูโปร่งมาก เมื่อเข้าฤดูฝนต้นไม้จึงผลิใบเต็มต้นและกลับเขียวชอุ่มเหมือนเดิม ป่าเบญจพรรณในท้องที่มีดินตื้นหรือดินเป็นกรวดทราย ค่อนข้างแห้งแล้งและมีไฟป่าในฤดูแล้งเป็นประจำ ต้นไม้จะมีลักษณะแคระแกร็น เรือนยอด เป็นพุ่มเตี้ยๆ ตามลำต้นและกิ่งมักจะมีหนามแหลม เช่น กระถินพิมาน Acacia tomentosa, A. harmandiana (Leguminosae), สีฟันคนฑา Harrisonia perforata (Simarouba- ceae), มะสัง Feroniella lucida (Rutaceae) เป็นต้น
2. ป่าเต็งรัง ป่าแพะ ป่าแดงหรือป่าโคก พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 80 เปอร์เซนต์ของป่าชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในภาคนี้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบทั่วไปในภาคเหนือ และค่อนข้างกระจัดกระจายลงมาทางภาคกลาง พบทั้งในที่ราบและเขาที่ต่ำกว่า 1,000 เมตรลงมา ขึ้นได้ในที่ดินตื้นค่อนข้างแห้งแล้งเป็นดินทรายหรือดินลูกรัง ถ้าเป็นดินทรายก็มีความร่วนลึกระบายน้ำได้ดี แต่ไม่สามารถจะเก็บรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้เพียงพอในฤดูแล้ง ถ้าเป็นดินลูกรังดินจะตื้นมีสีค่อนไปทางแดงคล้ำ บางแห่ง จึงเรียกป่าชนิดนี้ว่า “ป่าแดง”
ลักษณะของป่าเต็งรัง เป็นป่าโปร่ง ประกอบด้วยต้นไม้ผลัดใบขนาดกลางและขนาดเล็กขึ้นห่างๆ กระจัดกระจายไม่ค่อยแน่นทึบ พื้นป่ามีหญ้าและไผ่แคระจำพวกไผ่เพ็ก ไผ่โจด Vietnamosasa spp. ขึ้นทั่วไป มีลูกไม้ค่อนข้างหนาแน่น ทุกปีจะมีไฟป่าเกิดขึ้นเป็นประจำ ทำให้ลูกไม้บางส่วนถูกไฟไหม้ตายทุกปี จนกว่าลูกไม้นั้นๆ จะสะสมอาหารไว้ในรากได้เพียงพอ จึงจะเติบโตขึ้นสูงพ้นอันตรายจากไฟป่าได้ บางพื้นที่ๆ เป็นที่ราบมีดินทรายค่อนข้างลึก ต้นไม้มักจะมีขนาดสูงและใหญ่ ขึ้นเป็นกลุ่มๆ แน่นคล้ายป่าเบญจพรรณ เช่น ป่าเต็งรัง บนที่ราบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางแห่งมักจะพบกลุ่มไม้ที่มีลักษณะสมบูรณ์ ได้แก่ กราด Dipterocarpus intricatus, เหียง D. obtusifolius และพลวง D. tuberculatus ป่าเต็งรังที่ค่อนข้างแคระแกร็น พบบนภูเขาภาคเหนือที่มีดินตื้นตามไหล่เขาและสันเขา บริเวณที่แห้งแล้งมากที่สุดจะพบรัง Shorea siamensis ขึ้นเกือบเป็นกลุ่มเดียวล้วนๆ ส่วนเต็งจะพบขึ้นปะปนกับพรรณไม้ทั้ง 4 ชนิดดังกล่าว พรรณไม้ทั้ง 5 ชนิดเป็นกลุ่มไม้ยาง-เต็ง-รัง ที่ผลัดใบ (deciduous dipterocarp) พบเฉพาะในป่าเต็งรังเท่านั้น และไม้ในชั้นเรือนยอดจะประกอบด้วยพรรณไม้กลุ่มนี้ไม่ต่ำกว่า 70 เปอร์เซนต์ ส่วนไม้กราด D. intricatus พบเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
3. ป่าเต็งรัง ที่อยู่บนภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700 เมตร ถึง 1,350 เมตร มักจะพบสนสองใบ Pinus merkusii และสนสามใบ P. kesiya ขึ้นปะปนในชั้นเรือนยอด และมีขนาดสูงเด่นกว่าเรือนยอดชั้นบนของป่าเต็งรังทั่วไป นอกจากนี้ยังมีพรรณไม้ของป่าดิบเขาขึ้นแทรกอยู่ด้วย เรียกป่าชนิดนี้ว่าป่าเต็งรัง-สนเขา พบมากในป่าเต็งรังบนภูเขาทางภาคเหนือ ซึ่งมีไฟป่ารบกวนอยู่เสมอ ส่วนใหญ่ จะพบป่าเต็งรัง-สนเขา (โดยเฉพาะสนสองใบ) ที่ระดับระหว่าง 700 - 1,200 เมตร สนสองใบในป่าเต็งรังภาคเหนือขึ้นได้ในระดับต่ำถึงประมาณ 500 เมตร และระดับสูงสุดในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ประมาณ 1,350 เมตร ป่าเต็งรัง-สนเขาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) พบขึ้นบนภูเขาหินทราย ที่ระดับความสูงประมาณ 750 - 900 เมตร ส่วนใหญ่จะเป็นสนสามใบ เช่น ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ภูเขียว จ.ชัยภูมิ และอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
ป่าเต็งรัง-สนเขาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนใต้) ในเขตจังหวัดอุบลราชธานีและสุรินทร์ ขึ้นอยู่ในที่ราบต่ำประมาณ 120 - 150 เมตร จะพบแต่สนสองใบขึ้นห่างๆ ในป่าเต็งรังบนพื้นที่เป็นดินทราย ป่าเต็งรัง-สนเขา (สนสองใบ) ในภาคกลางจะพบบนเขาและเชิงเขาที่ระดับต่ำกว่า 500 เมตร ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและเพชรบุรี ป่าเต็งรัง-สนเขาที่ขึ้นตามธรรมชาติบนพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้ชายฝั่งชะอำ จ.เพชรบุรี (ป่าชุมชนเขาสน) มีระดับความสูงเพียง 70 เมตร แต่ป่าอยู่ในสภาพทรุดโทรมอย่างมากในปัจจุบัน
พรรณไม้เด่นในป่าเต็ง-รัง-สนเขา เช่น สนสองใบ Pinus merkusii, สนสามใบ P. kesiya (Pinaceae) นอกจากนี้มีพรรณไม้เด่นของป่าเต็งรัง ทั่วไป และพรรณไม้จากเขตภูเขาสูงปะปนอยู่ด้วย
ป่าผลัดใบป่าผลัดใบเป็นป่าไม้ที่ผลัดใบตามฤดูกาล (ตามฤดูกาล)
ระหว่าง 4-7 เดือน (จันทบุรี - ตราด) (ชนิดผลัดใบ) แทบทั้งสิ้น ในฤดูแล้ง (มกราคม - มีนาคม) ใบไม้แห้งจะกองทับถมบนพื้นป่าทำให้ 1,000 เมตร (ยกเว้นป่าเต็งรัง - สนเขา) จำแนกออกเป็น 3 ชนิดดังนี้1 ภาคกลางและพบกระจัดกระจายเป็นหย่อมเล็ก ๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนทางภาคใต้ไม่พบป่าชนิดนี้เลย ขนาดกลางและขนาดเล็กปนกันหลากชนิดโดยเฉพาะพรรณไม้ของวงศ์ Leguminosae, Combretaceae และ Verbenaceae (เต็งรัง) บางแห่งมีไม้ไผ่ชนิดต่างๆขึ้นเป็นกอสูง ๆ แน่นหรือกระจัดกระจายพื้นดินมักเป็นดินร่วนปนทรายมีความชุ่มชื้นในดินปานกลาง มักจะพบไม้สักขึ้นเป็นกลุ่มๆเช่น ในช่วงฤดูแล้ง (มกราคม - มีนาคม) ต้นไม้ส่วนใหญ่จะผลัดใบทำให้เรือนยอดของป่าดูโปร่งมาก ต้นไม้จะมีลักษณะแคระแกร็นเรือนยอดเป็นพุ่มเตี้ย ๆ ตามลำต้นและกิ่งมักจะมีหนามแหลมเช่นกระถินพิมาน Acacia tomentosa ก harmandiana (Leguminosae) สีฟันคนฑาสีฟันคนทา (Simarouba- ceae) มะสังมะส้ Lucida (Rutaceae ) เป็นต้น2 ป่าเต็งรังป่าแพะป่าแดงหรือป่าโคก 80 เปอร์เซนต์ของป่าชนิดต่างๆที่มีอยู่ในภาคนี้ทั้งหมดนอกจากนี้ยังพบทั่วไปในภาคเหนือ พบทั้งในที่ราบและเขาที่ต่ำกว่า 1,000 เมตรลงมา บางแห่งจึงเรียกป่าชนิดนี้ว่า "ป่าแดง" ลักษณะของป่าเต็งรังเป็นป่าโปร่ง กระจัดกระจายไม่ค่อยแน่นทึบ ไผ่โจด Vietnamosasa เอสพีพี ขึ้นทั่วไปมีลูกไม้ค่อนข้างหนาแน่นทุกปีจะมีไฟป่าเกิดขึ้นเป็นประจำ จนกว่าลูกไม้นั้น ๆ จะสะสมอาหารไว้ในรากได้เพียงพอ บางพื้นที่ ๆ เป็นที่ราบมีดินทรายค่อนข้างลึกต้นไม้มักจะมีขนาดสูงและใหญ่ขึ้นเป็นกลุ่มๆแน่นคล้ายป่าเบญจพรรณเช่นป่าเต็งรัง ได้แก่ กราดยางกราด, เหียงดี obtusifolius และพลวงดี tuberculatus ป่าเต็งรังที่ค่อนข้างแคระแกร็น บริเวณที่แห้งแล้งมากที่สุดจะพบรัง Shorea siamensis ขึ้นเกือบเป็นกลุ่มเดียวล้วนๆ 4 ชนิดดังกล่าวพรรณไม้ทั้ง 5 ชนิดเป็นกลุ่มไม้ยาง - เต็ง - รังที่ผลัดใบ (เต็งรัง) พบเฉพาะในป่าเต็งรังเท่านั้น 70 เปอร์เซนต์ส่วนไม้กราดดี intricatus พบเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ3 ป่าเต็งรัง 700 เมตรถึง 1,350 เมตรมักจะพบสนสองใบสนสองใบและสนสามใบพีสามใบขึ้นปะปนในชั้นเรือนยอด เรียกป่าชนิดนี้ว่าป่าเต็งรัง - สนเขา ซึ่งมีไฟป่ารบกวนอยู่เสมอส่วนใหญ่จะพบป่าเต็งรัง - สนเขา (โดยเฉพาะสนสองใบ) ที่ระดับระหว่าง 700 - 1,200 เมตร 500 เมตร 1,350 เมตร (ตอนบน) พบขึ้นบนภูเขาหินทรายที่ระดับความสูงประมาณ 750 -. 900 เมตรส่วนใหญ่จะเป็นสนสามใบเช่นในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวจชัยภูมิและอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว (ตอนใต้) ขึ้นอยู่ในที่ราบต่ำประมาณ 120-150 เมตรจะพบ แต่สนสองใบขึ้นห่าง ๆ ในป่าเต็งรังบนพื้นที่เป็นดินทรายป่าเต็งรัง - สนเขา (สนสองใบ) 500 เมตรในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและเพชรบุรี จ. เพชรบุรี (ป่าชุมชนเขาสน) มีระดับความสูงเพียง 70 เมตร เช่นสนสองใบสนสองใบ, สนสามใบพีสามใบ (Pinaceae) ทั่วไป
การแปล กรุณารอสักครู่..