Nestlé’s approach to working with s

Nestlé’s approach to working with small farmers exempli-
fies the symbiotic relationship between social progress
and competitive advantage. Ironically, while the company’s
reputation remains marred by a 30-year-old controversy
surrounding sales of infant formula in Africa, the corporation’s
impact in developing countries has often been
profoundly positive.
Consider the history of Nestlé’s milk business in India.
In 1962, the company wanted to enter the Indian market,
and it received government permission to build a dairy in
the northern district of Moga. Poverty in the region was severe;
people were without electricity, transportation, telephones,
or medical care. A farmer typically owned less
than five acres of poorly irrigated and infertile soil. Many
kept a single buffalo cow that produced just enough milk
for their own consumption. Sixty percent of calves died
newborn. Because farmers lacked refrigeration, transportation,
or any way to test for quality, milk could not travel
far and was frequently contaminated or diluted.
Nestlé came to Moga to build a business, not to engage
in CSR. But Nestlé’s value chain, derived from the company’s
origins in Switzerland, depended on establishing
local sources of milk from a large, diversified base of small
farmers. Establishing that value chain in Moga required
Nestlé to transform the competitive context in ways that
created tremendous shared value for both the company
and the region.
Nestlé built refrigerated dairies as collection points for
milk in each town and sent its trucks out to the dairies to
collect the milk. With the trucks went veterinarians, nutritionists,
agronomists, and quality assurance experts. Medicines
and nutritional supplements were provided for sick
animals, and monthly training sessions were held for local
farmers. Farmers learned that the milk quality depended
on the cows’ diet, which in turn depended on adequate
feed crop irrigation. With financing and technical assistance
from Nestlé, farmers began to dig previously unaffordable
deep-bore wells. Improved irrigation not only fed
cows but increased crop yields, producing surplus wheat
and rice and raising the standard of living.
When Nestlé’s milk factory first opened, only 180 local
farmers supplied milk. Today, Nestlé buys milk from more
than 75,000 farmers in the region, collecting it twice daily
from more than 650 village dairies. The death rate of calves
has dropped by 75%. Milk production has increased 50-
fold. As the quality has improved, Nestlé has been able to
pay higher prices to farmers than those set by the government,
and its steady biweekly payments have enabled
farmers to obtain credit. Competing dairies and milk factories
have opened, and an industry cluster is beginning to
develop.
Today, Moga has a significantly higher standard of living
than other regions in the vicinity. Ninety percent of the homes
have electricity, and most have telephones; all villages have
primary schools, and many have secondary schools. Moga
has five times the number of doctors as neighboring regions.
The increased purchasing power of local farmers has also
greatly expanded the market for Nestlé’s products, further
supporting the firm’s economic success.
Nestlé’s commitment to working with small farmers is
central to its strategy. It enables the company to obtain a
stable supply of high-quality commodities without paying
middlemen. The corporation’s other core products–coffee
and cocoa – are often grown by small farmers in developing
countries under similar conditions. Nestlé’s experience
in setting up collection points, training farmers, and introducing
better technology in Moga has been repeated in
Brazil, Thailand, and a dozen other countries, including,
most recently, China. In each case, as Nestlé has prospered,
so has the community.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

วิธีการของเนสท์เล่เพื่อทำงานกับเกษตรกร exempli-fies สัมพันธ์อยู่ระหว่างสังคมและการแข่งขัน แดกดัน ในขณะที่ของบริษัทชื่อเสียงยังคงเป็น marred โดยข้อ 30 ปีรอบการขายทารกในทวีปแอฟริกา บริษัทมักจะได้รับผลกระทบในประเทศกำลังพัฒนาอย่างลึกซึ้งบวกพิจารณาประวัติศาสตร์ของธุรกิจนมของเนสท์เล่ในประเทศอินเดียใน 1962 บริษัทต้องการที่จะป้อนตลาดอินเดียและได้รับสิทธิ์รัฐบาลสร้างนมที่ในเหนือเขตของ Moga ความยากจนในภูมิภาคได้รุนแรงคนไม่ มีไฟฟ้า ขนส่ง โทรศัพท์หรือแพทย์ เกษตรกรโดยทั่วไปเป็นเจ้าของน้อยกว่าห้าไร่ของดินการชลประทานดี และมีบุตรยาก หลายเก็บเดียวควายวัวที่ผลิตน้ำนมเพียงพอสำหรับการบริโภคของตนเอง ร้อยละหกสิบของวัวที่ตายทารกแรกเกิด เนื่องจากเกษตรกรขาดการทำความเย็น ขนส่งหรือการทดสอบคุณภาพ นมไม่สามารถเดินทางไกล และมักเจือปน หรือเจือจางเนสท์เล่มา Moga สร้างธุรกิจ ไม่สามารถมีส่วนร่วมในสังคม แต่ห่วงโซ่คุณค่าของเนสท์เล่ มาจากบริษัทกำเนิดในสวิตเซอร์แลนด์ ขึ้นอยู่กับการกำหนดนมจากฐานเล็กใหญ่ หลากหลายท้องถิ่นเกษตรกร สร้างห่วงโซ่ที่ Moga ที่จำเป็นเนสท์เล่จะเปลี่ยนบริบทการแข่งขันในรูปแบบที่สร้างคุณค่าร่วมกันอย่างมากสำหรับทั้งบริษัทและภูมิภาคเนสท์เล่สร้างนมแช่เย็นเป็นคะแนนเก็บนมในแต่ละเมือง และส่งรถบรรทุกของออกไปอย่างการรวบรวมน้ำนม ด้วยรถบรรทุกไปสัตวแพทย์ โภชนาการagronomists และผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันคุณภาพ ยาและเสริมไว้สำหรับผู้ป่วยสัตว์ และรายเดือนฝึกอบรมจัดขึ้นสำหรับท้องถิ่นเกษตรกร เกษตรกรได้เรียนรู้ว่า ขึ้นอยู่ที่คุณภาพน้ำนมในอาหารของวัว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเพียงพออาหารพืชชลประทาน ด้วยความช่วยเหลือทางการเงิน และทางเทคนิคจากเนสท์เล่ เกษตรกรเริ่มขุดยากหมากแพงก่อนหน้านี้เจาะลึกหลุม ปรับปรุงชลประทานเลี้ยงไม่เท่านั้นวัวแต่เพิ่มผลผลิต ผลิตข้าวสาลีส่วนเกินข้าวและยกมาตรฐานการครองชีพเมื่อโรงงานนมของเนสท์เล่เปิดครั้งแรก 180 ภายในเท่านั้นเกษตรกรให้นม วันนี้ เนสท์เล่ซื้อนมจากเพิ่มเติมกว่า 75,000 เกษตรกรในภูมิภาค รวบรวมวันละสองครั้งจากนมมากกว่า 650 ในหมู่บ้าน อัตราการตายของวัวได้ลดลง 75% ปริมาณน้ำนมเพิ่มขึ้น 50-พับ ขณะที่มีการปรับปรุงคุณภาพ เนสท์เล่ได้สามารถจ่ายราคาสูงเพื่อเกษตรกรมากกว่าที่รัฐบาลและการชำระเงินอัพอาทิตย์คงได้เปิดใช้งานเกษตรกรจะได้รับเครดิต แข่งขันนมและโรงนมเปิด และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป็นต้นพัฒนาวันนี้ Moga มีมาตรฐานการครองชีพสูงมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง ร้อยละเก้าสิบของบ้านมีไฟฟ้า และส่วนใหญ่มีโทรศัพท์ มีหมู่บ้านทั้งหมดโรงเรียน และหลายคนมีโรงเรียนมัธยมศึกษา Mogaมีห้าครั้งจำนวนแพทย์เป็นภูมิภาคใกล้เคียงยังมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกรขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ เพิ่มเติมสนับสนุนความสำเร็จทางเศรษฐกิจของบริษัทมีความมุ่งมั่นของเนสท์เล่ในการทำงานกับเกษตรกรกลางของกลยุทธ์ ช่วยให้บริษัทเพื่อขอรับการแหล่งสินค้าที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องจ่ายพ่อค้าคนกลาง บริษัทของผลิตภัณฑ์ – กาแฟหลักอื่น ๆและ โกโก้ – มักปลูก โดยเกษตรกรในการพัฒนาประเทศภายใต้เงื่อนไขที่คล้ายกัน ประสบการณ์ของเนสท์เล่ในการตั้งค่าคะแนนเก็บ การฝึกอบรมเกษตรกร และแนะนำMoga ดีเทคโนโลยีเกิดขึ้นในประเทศบราซิล ประเทศไทย และโหล ประเทศอื่น ๆ รวมทั้งสุด จีน ในแต่ละกรณี เป็นเนสท์เล่มียังคงรุ่งเรืองดังนั้น มีชุมชน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

วิธีการของเนสท์เล่จะทำงานร่วมกับเกษตรกรรายย่อย exempli-
fies ความสัมพันธ์ทางชีวภาพระหว่างความก้าวหน้าทางสังคม
และความได้เปรียบในการแข่งขัน กระแทกแดกดันในขณะที่ บริษัท ที่
มีชื่อเสียงยังคงเฉียดความขัดแย้ง 30 ปี
รอบการขายสูตรทารกในแอฟริกา บริษัท ของ
ผลกระทบในประเทศกำลังพัฒนามักจะได้รับ
ในเชิงบวกอย่างสุดซึ้ง.
พิจารณาประวัติศาสตร์ของธุรกิจนมของเนสท์เล่ในอินเดีย.
ในปี 1962 บริษัท ต้องการที่จะเข้าสู่ตลาดอินเดีย
และมันได้รับอนุญาตของรัฐบาลในการสร้างโคนมใน
เขตภาคเหนือของ Moga ความยากจนในภูมิภาครุนแรง;
คนไม่มีกระแสไฟฟ้า, การขนส่ง, โทรศัพท์,
หรือการดูแลทางการแพทย์ เกษตรกรมักจะเป็นเจ้าของน้อย
กว่าห้าเอเคอร์ของดินในเขตชลประทานที่มีบุตรยากและไม่ดี หลายคน
เก็บไว้วัวควายเดียวที่ผลิตนมพอเพียง
สำหรับการบริโภคของตัวเอง ร้อยละหกสิบของลูกตาย
แรกเกิด เพราะเกษตรกรขาดการทำความเย็น, การขนส่ง,
หรือวิธีการใด ๆ เพื่อทดสอบคุณภาพนมไม่สามารถเดินทาง
ไกลและได้รับการปนเปื้อนที่พบบ่อยหรือเจือจาง.
เนสท์เล่มาถึง Moga การสร้างธุรกิจไม่ได้ที่จะมีส่วนร่วม
ในความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ห่วงโซ่คุณค่าของเนสท์เล่ที่ได้มาจาก บริษัท ฯ
ต้นกำเนิดในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ขึ้นอยู่กับการสร้าง
แหล่งที่มาของท้องถิ่นของนมจากที่มีขนาดใหญ่ฐานความหลากหลายของขนาดเล็ก
เกษตรกร การสร้างห่วงโซ่คุณค่าว่าใน Moga ต้อง
เนสท์เล่จะเปลี่ยนบริบทของการแข่งขันในรูปแบบที่
สร้างความคุ้มค่าที่ใช้ร่วมกันอย่างมากสำหรับทั้ง บริษัท
และในภูมิภาค.
เนสท์เล่สร้างตู้เย็นรีดเป็นจุดคอลเลกชันสำหรับ
นมในแต่ละเมืองและส่งรถบรรทุกออกไปโรงนมเพื่อ
เก็บรวบรวม นม ด้วยรถบรรทุกไปสัตวแพทย์โภชนาการ
agronomists และผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันคุณภาพ ยา
และอาหารเสริมมีให้คนป่วย
สัตว์และการฝึกอบรมรายเดือนถูกจัดขึ้นสำหรับท้องถิ่น
เกษตรกร เกษตรกรได้เรียนรู้ว่าคุณภาพนมขึ้นอยู่
กับอาหารวัว 'ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความเพียงพอ
ชลประทานพืชอาหารสัตว์ ด้วยการจัดหาเงินทุนและความช่วยเหลือด้านเทคนิค
จากเนสท์เล่เกษตรกรเริ่มขุด unaffordable ก่อนหน้านี้
บ่อลึกเจาะ การปรับปรุงการชลประทานไม่เพียงเลี้ยง
วัว แต่เพิ่มขึ้นผลผลิตพืช, การผลิตข้าวสาลีส่วนเกิน
และข้าวและยกระดับมาตรฐานการครองชีพ.
เมื่อโรงงานนมเนสท์เล่เปิดเป็นครั้งแรกเพียง 180 ท้องถิ่น
เกษตรกรที่จัดนม วันนี้เนสท์เล่ซื้อนมจาก
กว่า 75,000 เกษตรกรในภูมิภาคการจัดเก็บภาษีเป็นครั้งที่สองในชีวิตประจำวัน
จากกว่า 650 โรงนมหมู่บ้าน อัตราการตายของลูก
ได้ลดลง 75% การผลิตนมได้เพิ่มขึ้น 50
เท่า ในฐานะที่เป็นที่มีคุณภาพได้ดีขึ้นเนสท์เล่ได้รับสามารถที่จะ
จ่ายในราคาที่สูงขึ้นให้กับเกษตรกรกว่าที่กำหนดโดยรัฐบาล
และการชำระเงินรายปักษ์ของตนอย่างต่อเนื่องได้เปิดใช้งาน
เกษตรกรจะได้รับเครดิต รีดแข่งขันและโรงงานนม
ได้เปิดและคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป็นจุดเริ่มต้นในการ
พัฒนา.
วันนี้ Moga มีมาตรฐานที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของที่อยู่อาศัย
กว่าภูมิภาคอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของบ้าน
มีไฟฟ้าและส่วนใหญ่มีโทรศัพท์; ทุกหมู่บ้านมี
โรงเรียนประถมศึกษาและมีหลายโรงเรียนมัธยมศึกษา Moga
มีห้าเท่าของจำนวนแพทย์เป็นพื้นที่ใกล้เคียง.
กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกรในท้องถิ่นยังได้
ขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ต่อการ
สนับสนุนความสำเร็จทางเศรษฐกิจของ บริษัท .
มุ่งมั่นของเนสท์เล่จะทำงานร่วมกับเกษตรกรรายย่อยเป็น
ศูนย์กลางในการกลยุทธ์ ซึ่งจะช่วยให้ บริษัท ที่จะได้รับ
การจัดหาที่มีเสถียรภาพของสินค้าที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องจ่าย
พ่อค้าคนกลาง ของ บริษัท ผลิตภัณฑ์กาแฟหลักอื่น ๆ
และโกโก้ - มักจะมีการปลูกโดยเกษตรกรรายย่อยในการพัฒนา
ประเทศภายใต้เงื่อนไขที่คล้ายกัน ประสบการณ์ของเนสท์เล่
ในการตั้งค่าจุดคอลเลกชัน, การฝึกอบรมเกษตรกรและแนะนำ
เทคโนโลยีที่ดีกว่าใน Moga ได้รับซ้ำใน
บราซิลไทยและโหลประเทศอื่น ๆ รวมทั้ง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ประเทศจีน ในแต่ละกรณีเช่นเนสท์เล่เจริญสุข
จึงมีชุมชน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ของเนสท์เล่ วิธีการทำงานกับเกษตรกร exempli - ขนาดเล็กfies ความสัมพันธ์ symbiotic ระหว่างความก้าวหน้าทางสังคมและความได้เปรียบในการแข่งขัน แดกดัน , ในขณะที่ บริษัทชื่อเสียงจะ marred โดยอายุ 30 การโต้เถียงรอบการขายสูตรทารกในแอฟริกา , บริษัทในประเทศกำลังพัฒนามักจะได้รับผลกระทบบวกสุดๆพิจารณาประวัติของธุรกิจนมเนสท์เล่ ในอินเดียในปี ค.ศ. 1962 ที่ บริษัท ต้องการที่จะเข้าสู่ตลาดอินเดียและมันได้รับอนุญาตจากรัฐบาลที่จะสร้างในเขตภาคเหนือของโมก้า . ความยากจนในภูมิภาครุนแรง ;คนไม่มีไฟฟ้าใช้ การขนส่ง , โทรศัพท์ ,หรือการดูแลทางการแพทย์ ชาวนามักจะเป็นเจ้าของน้อยลงกว่าห้าไร่ งาน ดินชลประทานและการเป็นหมัน หลายเก็บเดียวควายวัวที่ผลิตนมเพียงพอสำหรับการบริโภคของตนเอง ร้อยละหกสิบของลูกวัวตายเด็กแรกเกิด เพราะเกษตรกรขาดการทำความเย็น , การขนส่ง ,หรือวิธีการทดสอบคุณภาพ นมจะไม่เดินทางไกลและมักปนเปื้อนหรือเจือจางเนสท์เล่มาโมก้าเพื่อสร้างธุรกิจ ไม่โจมตีในสังคม . แต่เนสท์เล่ห่วงโซ่คุณค่า , ได้มาจาก บริษัทกำเนิดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีการจัดตั้งท้องถิ่นแหล่งที่มาของนมจากขนาดใหญ่ ฐานที่หลากหลายของเล็ก ๆเกษตรกร สร้างห่วงโซ่มูลค่าในโมก้าต้องที่เนสท์เล่แปลงบริบทการแข่งขันในรูปแบบว่าสร้างมูลค่ามหาศาลร่วมกันทั้งบริษัทและภูมิภาคเนสท์เล่ สร้างห้องเย็นโรงนมเป็นจุดคอลเลกชันสำหรับนมในแต่ละเมืองและส่งรถบรรทุกของไปให้ผลิตภัณฑ์นมเก็บนม กับรถบรรทุกไปสัตวแพทย์ , นักโภชนาการAgronomists และผู้เชี่ยวชาญด้านประกันคุณภาพ ยาและโภชนาการข้อมูลเพิ่มเติมคือให้ป่วยสัตว์และการฝึกอบรมรายเดือนถูกจัดขึ้นสำหรับท้องถิ่นเกษตรกร เกษตรกรได้เรียนรู้ว่าขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำนมในอาหารวัว ' , ซึ่งจะขึ้นอยู่กับที่เพียงพออาหารพืชชลประทาน กับการจัดหาเงินทุนและความช่วยเหลือทางเทคนิคจากเนสท์เล่ เกษตรกรเริ่มขุด unaffordable ก่อนหน้านี้เจาะบ่อลึก ไม่เพียง แต่ได้รับการปรับปรุงการชลประทานวัวแต่เพิ่มผลผลิต การผลิตข้าวสาลีส่วนเกินและข้าว และการยกระดับมาตรฐานของชีวิตเมื่อของเนสท์เล่นมโรงงานแรกเปิดเพียง 180 ท้องถิ่นเกษตรกรให้นม วันนี้ เนสท์เล่ ซื้อนมจากเพิ่มเติมกว่า 75 , 000 ราย ในพื้นที่เก็บสองครั้งทุกวันจากหมู่บ้านมากกว่า 650 โรงนม . อัตราการเสียชีวิตของลูกได้ลดลงถึง 75% การผลิตน้ำนมได้เพิ่มขึ้น 50 -พับ เป็นคุณภาพดีขึ้น เนสท์เล่ ได้จ่ายราคาที่สูงขึ้นให้กับเกษตรกรกว่าที่กำหนดโดยรัฐบาลและเปิดใช้งานมั่นคงเงินรายปักษ์เกษตรกรที่จะได้รับเครดิต แข่งโรงงานผลิตภัณฑ์นม และนมได้เปิด และมีกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นจุดเริ่มต้นพัฒนาวันนี้โมก้ามีมาตรฐานสูงขึ้นอย่างมากของชีวิตมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของบ้านมีไฟฟ้า และ ส่วนใหญ่มีทุกหมู่บ้าน มีโทรศัพท์โรงเรียนหลัก และมีโรงเรียนมัธยม โมก้ามีห้าครั้งจำนวนของแพทย์เป็นภูมิภาคที่อยู่ใกล้เคียงเพิ่มกำลังซื้อของเกษตรกรในท้องถิ่นได้ยังช่วยขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ เพิ่มเติมสนับสนุนความสำเร็จทางเศรษฐกิจของ บริษัทของเนสท์เล่ ความมุ่งมั่นที่จะทำงานกับเกษตรกรขนาดเล็กกลางกับกลยุทธ์ของ มันช่วยให้ บริษัท ที่จะได้รับจัดหาสินค้าที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องจ่ายคงที่พ่อค้าคนกลาง ของ บริษัท อื่น ๆผลิตภัณฑ์หลัก–กาแฟและโกโก้–มักจะปลูกโดยเกษตรกรรายย่อยในการพัฒนาประเทศภายใต้เงื่อนไขที่คล้ายกัน ของเนสท์เล่ ประสบการณ์ในการตั้งค่าจุดคอลเลกชัน เกษตรกร การฝึกอบรม และแนะนำเทคโนโลยีที่ดีขึ้นในโมก้าได้รับซ้ำในบราซิล ไทย และประเทศอื่น ๆรวมทั้ง , โหล ,เมื่อเร็วๆ นี้ จีน ในแต่ละกรณี เช่น เนสท์เล่ ได้เจริญรุ่งเรือง ,ดังนั้นจึงมีชุมชน