In addition to this, that our society is "society faces." my mind to focus on the content. "Content" on the screen smartphones and tablet. And there will be no interaction with the outside world.จนลืมรอบข้าง
เพราะปัจจุบันนี้ยุคที่คนเรามีสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตกันอย่างน้อยคนละ 1 เครื่องหรืออาจมากกว่า 1 เครื่องทำให้คนเราไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้างหรือแม้แต่ใจลอยเพราะว่าถูกสิ่งเร้าจากเนื้อหาในจอสมาร์ทโฟน
หรือไม่ได้อยู่กับสติเป็นปราการด่านสำคัญในการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวสักเท่าไหร่แล้ว
ที่น่ากลัวคือแม้แต่เวลาข้ามถนนหรืออยู่กลางถนนก็ยังจ้องมองไปที่จอภาพมากกว่าที่จะระมัดระวังตัวจากภยันตรายรอบข้างบางทีได้รับสัญญาณก็ไม่รับรู้เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือปฏิสัมพันธ์ที่อยู่บนโลกไซเบอร์
ผลกระทบมีผลทำให้เราใจร้อนคาดหวังผลเร็วขึ้นอารมณ์หงุดหงิดง่าย
1 )แต่เดิมในยุคที่เราสื่อสารด้วยการส่งจดหมายติดแสตมป์ต้องใช้เวลาเป็นหลักวันกว่าที่จะสื่อสารกันได้หากว่าเป็นข้ามทวีปด้วยแล้วเป็นหลักสัปดาห์ทีเดียว
แต่ปัจจุบันส่งอีเมลข้ามทวีปไปแล้วหากมองนาฬิกาแล้วคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะต้องตื่นแล้วและไม่ตอบมาในทันทีอีกฝ่ายก็รู้สึกขุ่นมัวแล้วว่าอีกฝ่ายหายไปไหนทำไมไม่ตอบเพราะมีสมมุติฐานเบื้องต้นว่าพอเกิดความคาดหวังแล้วไม่สมหวังก็เกิดอารมณ์ขุ่นมัวและบ่อยจะครั้งก็ไม่รู้ว่านั่นคือการเกิดโทสะขึ้นมาแล้วเก็บความคับข้องใจกลายเป็นอารมณ์ต่อไปอีก
2 ) ขาดสติขาดความรู้ตัวทั่วพร้อมจนอาจจะก่อเกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
นอกเหนือไปจากนี้การที่สังคมเราเป็น " สังคมก้มหน้า " ใจลอยจิตไปจดจ่ออยู่กับเนื้อหา " คอนเทนต์ " บนหน้าจอสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตจนไม่เหลือปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกทั้งไม่มีเช่นการข้ามถนนหรือขับรถอยู่บนทางด่วนนั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนจิตใจแบบใด " ความรู้ตัวทั่วพร้อม " ยังอยู่ครบดีหรือไม่หรือว่าจิตใจเราลอยไปอยู่กับสิ่งอื่นและไม่สามารถที่จะควบคุมด้วยตนเองได้อีกต่อไปแล้ว
แน่นอนว่าเทคโนโลยีต่างจะมีคุณูปการต่อการผลักดันโลกไปข้างหน้าแต่การใช้และปล่อยให้ฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์แอพพลิเคชั่นต่างจะมามีอิทธิพลเหนือ " ฮิวแมนแวร์ "
การแปล กรุณารอสักครู่..